วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Side Chain Compression

สำหรับคนที่เป็นคอเพลงเต้นรำคงเคยสังเกตว่าเพลงสไตล์แบบ French House ทั้งหลายนั้นมีวิธีการคอมเพรสซาวน์ที่รุนแรงจนเป็นเอกลักษณ์ แม้ตัวดนตรีแบบ House จะมีลักษณะเฉพาะอยู่แล้ว ทุกๆแทร็คยังจะมีเสียงที่ดังมากจริงๆ ในแวดวงดีเจจะเรียกซาวด์แบบนี้ว่า “push-pull” อธิบายเหมือนเวลาซาวน์มันกระแทกจะเป็นแบบผลักๆดึงๆ บางทีก็เรียก “breathing” เพราะเหมือนซาวด์มันกำลังหายใจอยู่ หรือบ้างก็เรียกว่า “suction” ภาษาคนไทยบอกซาวน์มันดูดๆกัน ผู้อ่านอาจลองกลับไปหาแผ่นของวง “Daft Punk” หรือ “Deep Dish” ไม่ก็ “Basement Jaxx” เปิดฟังแล้วคงจะเริ่มอ๋อในบรรดาศัพท์แสงเหล่านั้น เหล่านี้เป็นนักดนตรีที่เป็นหัวหอกในดนตรีแบบ House ที่มาจากฝรั่งเศส แม้ว่าดนตรีของแต่ละวงอาจฟังดูแล้วเป็นเอกเทศต่างจากเพลง House ที่มีอยู่ดาดเดื่อน ให้ฟังที่วิธีการคอมเพรสซาวด์ที่รุนแรงนี้ดู (วง “Air” ก็เป็นอีกวงนึงที่มาจากฝรั่งเศส)

คงไม่ใช่เพียงแค่ความโดดเด่นของศิลปินผู้สร้างสรรค์ดนตรีเท่านั้น แต่ก็เป็นเวทมนต์ของเครื่องมือในสตูดิโอเช่นกัน และเวทมนต์นี้ก็มีชื่อว่า “Side chaining”

ในการทำตามตัวอย่างในบทความนี้คุณจำเป็นจะต้องมี

1. ซอฟท์แวร์หลักที่ใช้ร่วมกับ VST Plug-Ins ได้ เช่น Ableton Live, Logic, Cubase, Pro Tools, etc…) จะสามารถทำไซด์เชนนิ่งได้

2. Side Chain Compressor – มีอยู่แล้วใน Live หรือจะดาวน์โหลด Free VST (PC Version | Mac Version) ตามลิงค์ครับ


ไซด์เชนนิ่งทำอะไรบ้าง?

ไซด์เชนนิ่งเป็นการนำเสียงนึง มาควบคุมอีกเสียงนึงอีกที โดยมากคุณจะพบฟังก์ชั่นนี้บนอุปกรณ์พวกไดนามิกโปรเซสเซอร์อย่างคอมเพรสเซอร์ (compressor), เกท (gate), ลิมิตเตอร์ (limiter), เอ็กซ์แพนเดอร์ (expander) แต่ต้องเป็นรุ่นที่แอดวานซ์หน่อย ไม่ใช่แบบพวก preset compressor นอกจากนี้ก็มีอยู่บนพวกเอฟเฟคท์โปรเซสเซอร์เช่น โวโค้ดเดอร์ (vocoders) หรือบนซินทิไซเซอร์ด้วยเช่นกัน

ไซด์เชนนิ่งมีประโยชน์จริงๆ ด้วยวิธีนี้จะทำให้เราสามารถมีเครื่องดนตรีหลายๆชิ้นแม้ว่าจะอยู่ใน frequency ช่วงเดียวกันได้โดยซาวด์ไม่ตีกัน หรือพูดง่ายๆว่าซาวด์มิกซ์ของคุณจะดีขึ้นเห็นๆ (ถ้าทำเป็นแล้ว)

ก่อนอื่นจะอธิบายเทคนิคที่เรียกว่า ดั๊กกิ้ง (Ducking) ซึ่งใช้ในหมู่โปรดิวเซอร์เพลง french house เพื่อที่จะได้ลักษณะซาวด์ที่เรียกว่า “Pumping” ภาษา ไทยเรียกว่า ซาวด์แบบสูบ หรือซาวด์มุดๆ ผู้อ่านที่ไม่เคยได้ยินคงจะงงกับภาษาเหล่านี้แน่ๆ มีตัวอย่างเพลงที่ใช้เทคนิคนี้อย่างรุนแรง ;-) เช่น

เพลง “One more time” โดย “Daft Punk”

เพลง “Together” โดย “Thomas Bangalter & DJ Falcon (จริงๆนายธอมัสนั้นก็อยู่วงดาฟท์พังค์ด้วยนั่นแหล่ะ)

ให้สังเกตเสียงฮอร์นในเพลงของดาฟท์พังค์จะพบว่า มันจะเงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงคิ๊กดรัมเล่นขึ้นมา นี่แหล่ะเทคนิคที่เรียกว่าดั๊กกิ้ง คำว่า duck ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง “เป็ด” แต่ มีอีกความหมายว่า ”มุดหัวหลบ” คงพอจะเข้าใจบ้างแล้วใช่มั้ยว่าฝรั่งเค้าจงใจทำให้เสียงฮอร์นหลบที่ให้เสียง คิ๊กเล่นนั่นเอง ลองฟังเพลงของ DJ Falcon จะได้ยินว่าเสียงร้องลูปนั้นถูกดั๊กให้เสียงคิ๊กเล่นในลักษณะเดียวกัน

ทีนี้จะลองไปหาเพลง French house จากแผ่นไหนก็ได้ใน 8 ปีที่แล้ว ทั้งหมดนั้นก็ทำแบบนี้


ไซด์เชนนิ่งทำซาวด์แบบนี้ได้ไง?

จริงๆแล้วไซด์เชนนิ่งนั้นหมายถึงการปล่อยเสียงจากแทร็คนึงเข้าไปที่เอฟเฟคท์ที่ใส่ให้กับเสียงของอีกแทร็คนึง ซึ่งเป็นกิริยาที่จะใช้กับเสียงกับเอฟเฟคท์อะไรก็ได้ ตย.เช่น เอฟเฟคท์ที่ใช้ทำเสียงร้องประสานอัตโนมัติให้กับนักร้องนำ มักจะอาศัยเอาเสียงตีคอร์ดกีตาร์ที่เค้าเล่นไปด้วย ไปใส่ในเอฟเฟคท์ร้องเพื่อให้ทราบคอร์ดแล้วนำไปวิเคราะห์สร้างเสียงประสานให้ ถูกต้องตามคอร์ดด้วย การนำเสียงนึงไปช่วยควบคุมเอฟเฟคท์ของอีกเสียงนึงก็คือไซด์เชนนิ่งนั่นเอง

แต่ส่วนใหญ่เวลาที่พูดถึงไซด์เชนนิ่ง ในแวดวงจะหมายถึงแต่การใช้ Sidechain Compressors กับ Gates เพื่อทำซาวด์แบบมุด หรือดั๊กกิ้งนั่นเอง จะอธิบายต่อถึงวิธีทำไซด์เชนบนซอฟท์แวร์ Ableton Live

เราจะใช้เสียงจากแทร็คนึงมาควบคุมโวลุ่มของอีกแทร็คได้จริงหรือ ดูจากภาพ เสียง Kick จากแทร็ค drums จะส่งผลให้เสียง pad เบาลงไปเฉพาะเวลาที่ Kick ดังขึ้น สังเกตก่อนและหลังทำไซด์เชนนิ่งให้กับเสียง pad

อันดับแรกต้องให้เตรียมแทร็คออดิโอไว้ 2 แทร็ค โดยแทร็คแรกจะเป็น Kick loop และ แทร็คที่สองเป็นเสียง Synth pad ตามตัวอย่างนี้ ให้ดาวน์โหลดจากลิงค์ไปก็ได้ แล้วนำไปวางในแทร็คตามรูป


ลองใส่ VST คอมเพรสเซอร์ให้กับแทร็ค Synth pad เสร็จแล้วลองเล่นดูก็ไม่เห็นได้ยินเป็นซาวด์แบบมุดเลยนี่หว่า ทำตาม step ดังนี้นะครับ

เราจะต้องตั้งเอาท์พุทของแทร็ค drums ใหม่ เปลี่ยนจากเดิมออกไปที่ Master เป็นไปที่ Synth loop แทน (step 1-2)

แล้วจะมีช่องให้เลือกต่อว่าไปเข้าที่ไหน ก็ให้เปลี่ยนจาก Track in ไปที่ Side Compressor แทน (step3-4)

เป็นอันเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อแบบซอฟท์แวร์ตามความหมายของ Side Chaining (เชื่อมโยงข้างเคียง) ต่อไปเราจะมาปรับค่าคอมเพรสเซอร์เพื่อให้ได้ซาวน์แบบ Pumping สุดๆ


การปรับค่าคอมเพรสชั่น


ถ้าลองเพลงฟังตอนนี้ เราจะได้ยินเสียง pad นั้นดั๊กกิ้งแล้ว แต่ไม่เห็นได้ยินเสียง Kick เลย แน่ล่ะเพราะเราเชื่อมมันเข้ามาในคอมเพรสเซอร์แทน จึงไม่ได้ออกไปที่เอาท์พุทมาสเตอร์ ให้เปิดปลั๊กอิส์คอมเพรสเซอร์ออกมา คลิกหมุนปุ่ม Key Volumn ขวาสุดให้ไปที่ 0.0dB เปิดสุดเลเพื่อที่จะได้ยินเสียง Kick กลับมาตามเดิม ไม่ยากเลยใช่มั้ย

ที่เหลือเป็นการปรับตามความเหมาะสมของแต่ละซาวด์ที่นำมา เริ่มจากค่า Treshold อาจจะตั้งไว้แถวๆ -13 หรือ –10db กลางๆก่อน จากวัตถุประสงค์ของตัวอย่างนี้เราอยากจะให้เสียง pad มุดหลบไปเลย จึงสามารถตั้งให้ Ratio หรืออัตราการบีบเสียงเป็น 00:1 (Infinity ต่อ 1 บิดขวาสุด) ซึ่งจะทำให้เสียง pad มีไดนามิคเรนจ์จากเบาไปดังกว้างที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ต่อไปปรับ attack ให้คอมเพรสเซอร์กดเสียง pad เร็วเท่าที่จะทำได้เช่นแถวๆที่ 5msec เพื่อให้เสียง pad ยังไม่คลิปขึ้นมา

ปุ่มปรับ hold จะตั้งให้คอมเพรสเซอร์กดเสียง pad (ด้วย ratio อินฟินีตี้ต่อ1) ให้เงียบนานขึ้นอีกนิด จากตัวอย่างนี้ลองปรับไว้แถวๆ 40msec

ปุ่ม release จะเป็นการตั้งให้เสียง pad ค่อยๆกลับมาดังเร็ว-ช้าแค่ไหน (ต่อจาก hold)

สุดท้ายปุ่ม Gain มีไว้หากการคอมเพรสทำให้ Volumn ทั้งหมดเบาลงไป แต่ตอนี้ตั้งไว้ 0dB ตามเดิม

เท่านี้คุณก็ได้ซาวด์แบบ Pumping ในดนตรีแบบ French house หรืออย่างน้อยคุณก็ประยุกต์ไปใช้ในแบบของคุณได้ J

สุด ท้ายนี้ หวังว่าคงจะสนุกในการเรียนรู้เทคนิคนี้ ซึ่งนำไปปรับปรุงคุณภาพงานเพลงได้จริงๆ ลองเริ่มทดลองใหม่ดูว่ามีซาวด์อะไรบ้างที่จะนำมาไซด์เชนนิ่งได้บ้าง แล้วคุณจะค้นพบอีกมากมาย


แปลและเรียบเรียงจาก sonictransfer.com

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ที่มาของระดับสัญญาณ(เสียง)ต่างๆ

Part I Signals from Source to DAW (Digital Audio Workstation)

ในขั้นตอนที่เราเสียบสายแจ็คเข้าที่ Input ของ Soundcard เพื่อบันทึกเสียงนั้น มีใครรู้บ้างมั้ยว่าจริงๆแล้วที่มาของสัญญาณเสียงต่างๆนั้นเป็นยังไง ลองศึกษาบทความนี้เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพวิธีการบันทึกเสียงให้เข้าขั้นมืออาชีพได้มากขึ้น
ในวิชาวิศวกรรมระบบจะเรียนรู้เกี่ยวกับการเชื่อมต่อ (Interfaces) ให้วิทยาการและศิลปะนั้นทำงานด้วยกันได้ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่ออุปกรณ์ที่สร้างมาจากคนละโรงงานด้วยคุณสมบัติการเชื่อมต่อที่ต่างกัน
การทำความเข้าใจให้ถึงหัวใจเรื่องระดับของสัญญาณทำงาน (Operating Levels), ค่าอิมพีแดนซ์อินพุทเอาท์พุทของอุปกรณ์ (Impedance), การเชื่อมต่อสัญญาณแบบบาลานซ์ (Balanced) กับอันบาลานซ์ (UnBalanced) และรู้จักหัวต่อ (Connector) ทุกชนิดกับวิธีใช้ ก็จะช่วยให้เราเลือกอุปกรณ์ที่เข้ากันได้แน่ๆสำหรับระบบของเรา และรู้ว่าอะไรที่สามารถทำได้และทำไม่ได้เมื่อจะต่อข้ามชนิดอุปกรณ์

ก่อนอื่นมารู้จักกับระดับการทำงานของสัญญาณพวกไมโครโฟน, ไลน์, และอินสทรูเมนท์ ที่มักจะเจอบ่อยๆ
Operating Levels – Microphone, Line, and Instrument

สัญญาณเสียงทั้งหมดที่เข้าออกซาวน์การ์ดที่เราใช้ในตอนนี้นั้น จริงๆแล้วคือแรงดันไฟฟ้า(Voltage) สำหรับช่อง Input นั้นจะมีระดับแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสมกับมันที่สุด ถ้าแรงดันไฟฟ้ามากไปก็อาจจะเกิดการผิดเพี้ยน (Distortion) และ Overloading ได้
Microphone นั้นให้แรงดันไฟฟ้าได้เพียงเล็กน้อย (นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงชื่อไมโคร) ตั้งแต่ช่วง 2-3 มิลลิโวลท์ไปถึงแถวๆ100มิลลิโวลท์นี้เราเรียกว่าสัญญาณระดับไมค์ (Mic Level)
พวกคีย์บอร์ดอิเลคทรอนิคส์ อุปกรณ์พวกคอมเพรสเซอร์, อีควอไลเซอร์, และพวกสตูดิโอเอฟเฟคโปรเซสเซอร์ต่างๆนั้น ต้องการแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่า และผลิตแรงดันไฟฟ้าที่ Out Put มากกว่า 100มิลลิโวลท์ ไปจนถึง 12โวลท์ แถวนี้เราเรียกว่าสัญญาณระดับไลน์ (Live Level)
สุดท้ายพวกปิ๊คอัพกีตาร์ไฟฟ้าหรือเบสไฟฟ้านั้นให้แรงดันไฟฟ้าในช่วงระหว่างไมโครโฟนกับไลน์ เราเรียกว่าสัญญาณระดับอินสทรูเมนท์ (Instrument Level) แม้ผู้ผลิตจะไม่ได้ระบุไว้ว่าเท่าไหร่ เพียงแต่บอกว่ามันต้องใช้ต่อร่วมกับอุปกรณ์ที่มีค่า Input Impedance สูง เช่น (แน่นอน) ตู้แอมป์กีตาร์ หรืออุปกรณ์พวก DI box หรือบน Mic Preamp ออกแบบโดยเฉพาะ เอฟเฟคก้อนก็ทำงานอยู่ที่สัญญาณระดับนี้
การบอกค่าระดับสัญญาณทำงานมักจะเลือกเอาค่า Nominal ก็คือ ค่าเฉลี่ยตรงกลางของช่วงของสัญญาณทำงานนั้นๆในหน่วยเดซิเบล (dBu) อย่างสัญญาณระดับไลน์แบบมืออาชีพที่ใช้กันทุกวันนี้นั้นก็จะทำงานอยู่ที่ +4dBu ซึ่งก็จะเท่ากับ ~1.23Volts
แต่สัญญาณระดับไลน์ของเครื่องเสียงตามบ้านทั่วไป (Consumer) จะทำงานอยู่ที่ -10dBu ซึ่งก็จะประมาณ 0.32Volts
สัญญาณระคับไมโครโฟนไม่ใช้เลือกค่าตรงกลางมาใช้ (จากที่วัดก็จะอยู่ประมาณ -40dBu) ส่วนสัญญาณระดับอินสทรูเมนท์ก็จะอยู่ที่ -20 dBu
ซาวน์การ์ดออนบอร์ด(ที่มากับคอมพิวเตอร์เลย) นั้นก็ออกแบบมาทำงานกับอุปกรณ์เครื่องเสียงบ้าน ช่อง line in ของมันจึงต้องทำงานที่ -10 dBu เช่นกัน ส่วนพวกซาวน์การ์ดแบบมืออาชีพหรือที่เรียก Audio Interface ที่เราใช้ทำเพลงกัน Input ของมันจะทำงานที่ +4dBu จึงมืออาชีพมากกว่า และบางรุ่นยังสวิตท์เปลี่ยนไปทำงานที่ -10dBu ก็ได้ด้วย


Nominal Levels VS. Headroom VS. Dynamic Range
จากที่เล่ามาระดับสัญญาณเสียงต่างๆทั้งหมดอยู่ในช่วงที่กว้างๆอยู่ แต่เราควรจะตั้งเป้าหมายการบันทึกเสียงไว้ที่ระดับไหนดี ผู้ผลิตอุปกรณ์จึงต้องบอกสเปกความสามารถของอุปกรณ์ด้วยค่า Nominal Levels, Headroom, และ Dynamic Range
ที่ช่องอินพุทของซาวน์การ์ดมักเขียนบอกว่าทำงานที่ระดับ +4dBu นั่นก็คือ “โนมิน่อลเลเว่ล” (Nominal Level) จริงๆแล้วเราสามารถป้อนแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าโนมิน่อลเลเว่ลนี้ก็ได้ แต่เราจะรู้มั้ยว่ามากกว่าได้มากแค่ไหน จึงนับช่วงตั้งแต่ +4dBu นี้ไปจนถึงระดับก่อนที่จะเกิดการ Distort นั้น (สมมติว่าซัก +22dBu) กำหนดเรียกว่า “เฮดรูม” (Headroom) กลับไปพิจารณาระดับสัญญาณที่ต่ำที่สุดที่คุณตัดสินว่าไม่ใช่เสียงดนตรี ซึ่งมักจะเป็นเสียงน๊อยส์ที่เกิดจากตัวซาวน์การ์ดเอง (สมมติว่า –85dBu) เราเรียกว่า “น๊อยส์ฟลอร์” (Noise Floor) ที่เอาท์พุทของซาวน์การ์ดจะมีน๊อยฟลอร์ออกไปตั้งแต่ระดับนี้ไปจนถึงระดับสัญญาณสูงสุดที่เอาท์พุทสามารถผลิตได้ก่อนที่จะ Distortion เราเรียกว่า “ไดนามิคเรนจ์” (Dynamic Range)
อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณต่ออุปกรณ์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ต่อเอาท์พุทจากซาวน์การ์ดออนบอร์ดที่ทำงานที่โนมิน่อลเลเว่ล -10dBu ไปยังช่อง +4dBu Line Input ของ DJ Mixer คุณจะต้องเพิ่ม Gain Input ที่มิกเซอร์มากผิดปกติเพื่อที่จะได้ระดับสัญญาณที่โชว์ที่มิเตอร์ไฟสูงอย่างเคย มันจะไม่ผิดปกติถ้าคุณรู้จักจับคู่เชื่อมต่อให้เหมาะกัน มาดูที่ไมโครโฟนที่ผลิตสัญญาณได้น้อยจึงต้องการไมโครโฟนปรีแอมป์เพื่อขยายให้เพิ่มได้ถึง 20-60 dB เพื่อทำให้สัญญาณระดับไมค์กลายเป็นสัญญาณระดับไลน์ จากนั้นเราควรที่จะทำงานที่ระดับสัญญาณนี้ต่อไปในระบบ ปรีแอมป์นี้อาจจะเป็นอุปกรณ์เพิ่มต่างหากหรือบางครั้งก็ติดมากับซาวน์การ์ดบางรุ่น

อิมพีแดนซ์ Impedance
ค่าอิมพีแดนซ์นั้นคล้ายๆกับค่าความต้านทานทางไฟฟ้าและก็ใช้หน่วยเดียวกัน คือ “โอห์ม” (Ohm) บางครั้งที่อุปกรณ์ก็ไม่ได้ระบุเป็นตัวเลขแต่บอกไว้แค่ว่า “high” หรือ “low” เท่านั้นเอง ซึ่งอุปกรณ์จะส่งต่อสัญญาณทำงานได้สมบูรณ์เมื่อค่าเอาท์พุทอิมพีแดนซ์ของอุปกรณ์ต้นทางกับอินพุทอิมพีแดนซ์ของอุปกรณ์ปลายทางมีค่าใกล้เคียงกันที่สุด
ในบรรดาไมโครโฟนแบบมืออาชีพแทบทั้งหมดจะมีค่าอิมพีแดนซ์ต่ำ (low) 50-300 โอห์ม แต่ก็ทำงานได้ดีกับช่องอินพุทระดับไมค์(บนมิกเซอร์ทั่วไป)ที่มีอิมพีแดนซ์อินพุทที่ 1000-3000โอห์ม
ในอุปกรณ์ระดับไลน์สมัยใหม่มีเอาท์พุทอิมพีแดนซ์อยู่ที่ประมาณ 100โอห์ม และมีอินพุทอิมพีแดนซ์ที่ 5,000-20,000โอห์ม พวกอินสทรูเมนท์ปิ๊คอัพ(เบส,กีตาร์ไฟฟ้า)นั้นสามารถเข้าใกล้สัญญาณระดับไลน์ได้ แต่เสียงจะไม่ดีเลยถ้าไม่ต่อกับอุปกรณ์ที่มีอิมพีแดนซ์อินพุท ตั้งแต่ 100,000 โอห์มขึ้นไป
และพวกดอกลำโพงนั้นมีอิมพีแดนซ์ต่ำเพียงแค่ 4-16โอห์มเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพวกพาวเวอร์สปีกเกอร์ที่มีแอมปริไฟล์อยู่ในตัวก็จะนับเป็นเหมือนกับอุปกรณ์ระดับไลน์อื่นๆ
สิ่งสำคัญที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับค่าอิมพีแดนซ์คือการจับคู่เอาท์พุทและอินพุทอิมพีแดนซ์ให้เป็น

Balanced / Unbalanced
นี่เป็นเรื่องที่หลายคนยังคงสับสนอยู่ดี(แม้จะอ่านบทความนี้จบแล้วก็ตาม) ลองสังเกตุภายในสายนำสัญญาณเสียงหรือไมโครโฟนเคเบิลต่างๆ เมื่อผ่าออกมาดูถ้าเราจะพบสายไฟสองเส้นอยู่ภายในชีลด์ นี่เป็นสายแบบบาลานซ์ หากมีเส้นเดียวก็จะเป็นสายแบบอันบาลานซ์ ในการเชื่อมต่อแบบบาลานซ์นั้นสายไฟทั้งสองเส้นภายในจะส่งผ่านสัญญาณเสียงเหมือนกันแต่มีขั้วตรงข้ามกัน ส่วนที่เป็นชีลด์ห่อหุ้มจะต่อกับกราวด์ ไม่ได้นำส่งสัญญาณแต่ทำการปกป้องการรบกวนจากรอบข้าง การรบกวนของจากรอบข้างนั้นได้แก่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆนั่นเอง ด้วยลักษณะของสายไฟนั้นแท้ที่จริงก็คือสายอากาศรับคลื่นดีๆนี่เอง จึงคอยรับคลื่นวิทยุหรือสิ่งรบกวนได้ง่าย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมสายนำสัญญาณราคาถูกจึงมีเสียงจี่มากกว่า (สายยาวๆจะสังเกตได้ชัดเจน)
การเชื่อมต่อแบบบาลานซ์จึงป้องกันการรบกวนได้ดีกว่าเพราะวงจรบาลานซ์นั้นสามารถหักล้างการรบกวนต่างๆไปตลอดทางที่สายไมโครโฟนทอดยาวไป การออกแบบวงจรบาลานซ์จึงเกิดขึ้น
ในยุคแรกๆมีการใช้ทรานฟอร์มเมอร์สร้างวงจรบาลานซ์ได้ผลที่ดีมาก ขดลวดฝั่งเซคันดารี่ของทรานฟอร์มเมอร์สามารถแบ่งสัญญาณออกเป็นสองทางอย่างสมบูรณ์ ทำให้ค่าอิมพีแดนซ์ของสายนำสัญญาณทั้งสองเทียบกับกราวด์นั้นสมดุลกัน แต่ทรานฟอร์มเมอร์ก็มีราคาสูงมาก
มีการออกแบบง่ายๆคือสายนำสัญญาณอีกเส้นนั้นไม่ต้องต่อกับสัญญาณเลย เพียงแต่ต่อกับตัวต้านทานที่มีค่าเท่ากับอิมพีแดนซ์เอาท์พุทของสายนำสัญญาณเส้นจริง แล้วก็ต่อกับกราวด์เป็นอันเสร็จ วิธีนี้จึงทำให้เกิดการสมดุลของอิมพีแดนซ์ของสายนำสัญญาณทั้งสองได้ใกล้เคียงแม้จะไม่สมบูรณ์เท่าทรานฟอร์มเมอร์
ยังมีการออกแบบวงจรที่ใช้มากกว่าตัวต้านทานตัวเดียวซึ่งก็จะแพงขึ้นมา ดังนั้นวิธีการที่จะเชื่อมต่อสัญญาณตอนนี้จึงได้แก่ ทรานฟอร์มเมอร์บาลานซ์, อิเล็คทรอนิคส์บาลานซ์, อิมพีแดนซ์บาลานซ์, และอันบาลานซ์
การเชื่อมต่อแบบบาลานซ์จึงอยู่ในอุปกรณ์แบบมืออาชีพส่วนใหญ่และเป็นส่วนที่คนใช้ตัดสินว่าโปรฯหรือไม่แต่ในปัจจุบันด้วยคุณภาพของอุปกรณ์ปรีแอมป์ต่างๆ อุปกรณ์แบบอันบาลานซ์ก็สามารถนำมาใช้ได้ไม่มีปัญหา
แต่สายไมโครโฟนที่มีสายนำสัญญาณเสียง 2เส้นภายในนั้น อาจนำไปใช้เชื่อมต่อในกรณีอื่น เช่น เชื่อมต่อสัญญาณเสียงสเตอริโอ, ทำเป็นสาย Inserts (Send Return) เป็นต้น ซึ่งการใช้แบบนี้คือการต่อแบบอันบาลานซ์บนสายแบบบาลานซ์ เพราะสายข้างในแต่ละเส้นนั้นนำสัญญาณเสียงคนละอย่างกัน
การเชื่อมต่อแบบบาลานซ์จึงคล้ายวงจรคู่ขนานที่ของสายนำสัญญาณทั้ง 2เส้นจะมีอิมพีแดนซ์เทียบกับกราวด์เท่ากัน

หัวต่อ, แจ๊คแบบต่างๆ (Connector)

ไมโครโฟนส่วนใหญ่จะใช้หัวต่อแบบ XLR ตัวผู้ ซึ่งเป็นหัวต่อแบบบาลานซ์เสมอ เพราะสัญญาณไมค์นั้นต่ำมาก จึงต้องลดการรบกวนต่างๆให้มากที่สุด


“ควอเตอร์อินช์โฟนแจ๊ค” หรือ หัวต่อแจ๊คโฟน ขนาด ¼” น่าจะเป็นหัวต่อที่ใช้ในสตูดิโอมากที่สุด เนื่องจากราคาไม่แพงและทนทาน ที่ถูกเรียกว่าโฟนเพราะว่ามันเคยเป็นมาตรฐานบนเครื่องโทรศัพท์ (Telephone) มีอยู่ 2 แบบคือ แบบบาลานซ์ และ อันบาลานซ์ แต่จะเรียกว่า TRS และ TS ตามลำดับ ซึ่งเรียกตามส่วนประกอบของมันได้แก่ Tip , Ring , Sleeve บางครั้งหัวแจ๊ค TRS ถูกนำไปใช้นำสัญญาณอันบาลานซ์ 2 แชนแน่ล พบในอุปกรณ์ เช่น หูฟัง (Headphones) เลยถูกเรียกว่า “สเตอริโอแจ๊ค” ซะมากกว่า มีการใช้ในวิธีการวิธีการ Insert บนมิกเซอร์ เพื่อนำสัญญาณอันบาลานซ์ส่งออกไป (Send) และย้อนกลับมา (Return) ด้วยหัวต่อแบบ TRS ตัวเดียว
หัวต่อมินิโฟน ขนาด 1/8” ก็เหมือนกับ ¼” เพียงแต่ว่ามันเล็กกว่า ทนทานน้อยกว่า และมักจะใช้ในอุปกรณ์เครื่องเสียงตามบ้านแต่ก็ยังพบบ้างในอุปกรณ์แบบมืออาชีพที่จำกัดขนาด เช่น เครื่องบันทึกเสียงแบบพกพา หัวต่อแบบมินิโฟนจึงมักจะเป็นส่วนที่ชำรุดก่อนเพราะมันถูกใช้บ่อยบนซาวด์การ์ดที่ติดมากับคอมพิวเตอร์ก็มีหัวต่อแบบนี้ เป็นช่องสเตอริโออินพุท หรือ เอาท์พุท

หัวต่อRCA โฟโน (RCA Phono) นั้นเคยถูกใช้เป็นหลักในห้องบันทึกเสียงในยุคแรกๆ เพราะว่ามันถูกกว่าแบบควอเตอร์อินช์ และมีสายแบบสำเร็จขายในราคาไม่แพง แต่เพราะมันเป็นแบบอันบาลานซ์จึงไม่ได้ใช้แล้วในอุปกรณ์สมัยใหม่ นอกจากอุปกรณ์พวกมิกเซอร์ที่ยังพอมีอินพุทหรือเอาธ์พุทแบบ RCA นี้ เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องเสียงบ้านได้บ้าง เช่น เครื่องเล่นmp3พกพา บนมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบดิจิตอลที่ชื่อ S/PDIF ก็ยังใช้หัวต่อแบบRCA และยังพบเห็นในอุปกรณ์DJ ตลอด

ในตอนเริ่มแรกคุณอาจจะใช้เพียงซาวด์การ์ดที่ติดมากับคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกเสียง หากคุณสามารถเสียบไมโครโฟนด้วยสายต่อที่ถูกต้อง และเสียบถูกช่องด้วยความเข้าใจ ก็จะได้ผลการบันทึกเสียงที่ดีที่สุดจากอุปกรณ์เท่านั้นแล้ว และเมื่อคุณมีอุปกรณ์เพิ่ม เช่น มิกเซอร์ หรือไมค์ปรีแอมป์ ขอบเขตของคุณภาพงานบันทึกเสียงก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ทำความเข้าใจให้ดีเพื่อพร้อมที่จะข้ามสู่ระดับต่อไป

พื้นฐานเรื่องซาวน์การ์ด
คอมพิวเตอร์ออดิโออินเตอร์เฟซ หรือซาวด์การ์ดที่เราเรียกกัน ก็คืออุปกรณ์ ที่สามารถนำสัญญาณเสียงเข้าไปเก็บในคอมพิวเตอร์ได้ ทุกวันนี้ซาวด็การ์ดถูกผลิตขึ้นมาในหลายๆขนาด รูปร่าง และความสามารถต่างๆไป เมื่อติดตั้งให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณก็จะสามารถทำงานแทนเครื่องบันทึกเทปได้ โดยใช้ฮาร์ดดิสของคอมพิวเตอร์แทนเทปนั่นเอง สัญญาณเสียงจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิตอลซึ่งเก็บเป็นข้อมูลลงในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ หรือจะเก็บแบบถาวรลงบนดิสค์ ข้อมูลเหล่านี้สามารถอ่านจากดิสค์กลับไปที่ซาวด์การ์ด และแปลงเป็นรูปสัญญาณเสียงที่สามารถขับลำโพงหรือหูฟังให้เกิดเสียงได้
ในภาคอินพุทประกอบไปด้วยไมโครโฟรพรีแอมซึ่งช่วยขยายสัญญาณเล็กๆที่ได้จากไมโครโฟนให้มีระดับที่ตัวแปลงสัญญาณจากอะนาล็อกไปเป็นดิจิตอลหรือ A/D Converter สามารถใช้ได้ สัญญาณเสียงจะถูกแปลงเป็นรูปแบบดิจิตอลที่สามารถเก็บลงบนดิสค์ และเมื่อข้อมูลดิจิตอลจากดิสค์กลับไปที่ตัวแปลงดิจิตอลไปเป็นสัญญาณอะนาล็อกหรือ D/A Converter ก็จะออกมาเป็นเสียง
ในส่วนของ Control Panel ที่แสดงในรูปนั้นก็คือปุ่มและสไลเดอร์ที่ใช้ควบคุม Volume และเลือกที่มาของอินพุทดังที่เห็นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อคุณใช้มันคอมพิวเตอร์ก็จะส่งคำสั่งไปที่ซาวด์การ์ดให้ปรับเสียงตามนั้น


ซาวด์การ์ดที่มี A/D และ D/A Converter ที่ดีกว่า เริ่มถูกผลิตออกมาขายมากขึ้น มันอาจจะมีแค่ภาคอินพุทแบบไลน์ ซึ่งก็ยังต้องการอุปกรณ์พวกพรีแอมภายนอกหรือมิกเซอร์เพื่อให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าซาวด์การ์ดธรรมดา ยังคงมีอีกหลายๆทางที่จะทำให้เสียงดีขึ้นได้ เราจะพูดถึงเครื่องมือต่างๆ เช่น มิกเซอร์ ไมค์พรีแอมป์ อีควอไลเซอร์ คอมเพรสเซอร์ หรือแม้กระทั่งออลอินวันคอมพิวเตอร์อินเตอร์เฟสที่มีทุกอย่างภายในตัวเดียวในครั้งต่อไป