วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Jam Hub

สวัสดีครับ แวะไปเอาคอมมิวสิคเล่มใหม่ที่โรงเรียนปราชญ์มิวสิค ก็เห็นกล่องใหญ่ๆอันนึงวางไว้ จึงถูกวานให้นำกลับบ้านไปลองเล่นดู เจ้ากล่องที่ว่านี้ก็คือตัว Jamhub นั่นเอง เห็นลงโฆษณาในเว็บไซต์ต่างประเทศมาพักนึง ไม่นานก็มีผู้นำเข้ามาให้นักดนตรีบ้านเราได้เล่นกัน


จากรายละเอียดขณะยังไม่ได้แกะกล่อง แจมฮับ! คือทางเลือกใหม่สำหรับการซ้อมดนตรีโดยไม่ใช้เสียง กล่าวคือนักดนตรีทุกคนจะสามารถแจมดนตรีกันได้ในห้องสมมติโดยฟังอยู่ในหูฟังนั่นเอง

ห้องสมมติที่ว่าผู้ผลิตกำหนดมา 3 แบบ แจมฮับเลยผลิตมา 3 รุ่น ดังนี้
1. Bed Room หรือ ห้องนอนนั่นเอง คุณสามารถซ้อมดนตรีในห้องนอนดังแค่ไหนก็ได้ สูงสุด 5คน
2. Green Room สำหรับนักดนตรี 7 คน โดยขจัดปัญหาการแข่งกันดัง พกไปแจมที่ไหนก็ได้
3. Tour Bus มีระบบบันทึกเสียงในตัวเลย ระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต เวลาที่คุณซ้อมดนตรีในรถหรือแจมดนตรีฆ่าเวลา ซึ่งอาจเกิดเพลงใหม่ๆขึ้น รุ่นนี้สามารถบันทึกเสียงไว้ได้โดยไม่ต้องพึงคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ภายนอก

ภายในกล่องมีอะไรบ้าง

เมื่อแกะกล่องมาลองดู แค่เห็นก็รู้วิธีใช้งาน แจมฮับเป็นกล่องรูปประมาณครึ่งวงกลม แล้วแบ่งเป็นส่วนๆเหมือนการตัดแบ่งเค้กหรือพิซซ่า โดยแต่ละส่วนก็มีปุ่มปรับเสียงสำหรับนักดนตรีแต่ละคน เมื่อเสียบปลั๊กแล้วก็ใช้ได้เลย


ในแต่ละส่วนนั้น สามารถต่อ ไมโครโฟนสำหรับร้องหรือพูด, Lineจากเครื่องดนตรี และหูฟัง สำหรับนักดนตรีแต่ละคนได้อิสระ เมื่อทุกคนที่ต้องการเข้ามาแจมก็สามารถเสียบเข้ามาในส่วนที่ว่างอยู่ ก็จะได้ยินเสียงจากนักดนตรีคนอื่นๆและของตัวเองได้ที่หูฟังของตัวเองทันที


ภาคการปรับเสียงนั้น จะมีปุ่มปรับความดังเสียงจากนักดนตรีแต่ละคนและของตัวเอง ดังเบาได้ตามต้องการ ช่วยให้นักดนตรีแต่ละคนสามารถมิกซ์เสียงของทุกคนได้ตามถนัดและที่ต้องการในหูฟังของตัวเอง ตย.เช่น ต้องการฟังเสียงกลองดังแต่ไม่ต้องการฟังเสียงกีตาร์โซโล่ดังมากนัก ในขณะที่นักดนตรีคนอื่นๆก็ต่างปรับตามใจชอบ จึงตัดปัญหาเดิมๆของการซ้อมดนตรีนั่นคือ ทุกคนพยายามจะแข่งกันดังกว่า เพราะต่างไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง และเมื่อเสียงดนตรีดังมากๆก็จะไม่ได้ยินเสียงร้อง แต่ที่แจมฮับนั้น สามารถเพิ่มเสียงร้องได้โดยที่ไม่เกิดอาการไมค์หอน หรือ feedback

จากความสามารถนี้ดังนั้นแจมฮับจึงเหมาะกับการใช้งานหลายประเภททีเดียว นอกจากการซ้อมดนตรี
นอกจากการบาลานซ์ความดังของแต่ละเสียงของนักดนตรีได้ของใครของมันแล้ว ยังมีการเพื่มเสียง FX ให้กับไมโครโฟนของตัวเองได้ด้วย ใครชอบเอฟเฟคเยอะหรือน้อยก็ปรับได้เอง และสามารถปรับ Pan ตำแหน่งของตัวเองในวงเพื่อสร้างมิติในการฟังได้

ในการใช้งานตามวัตถุประสงค์นั้นจำเป็นจะต้องเป็นเครื่องดนตรีไฟฟ้าทั้งนั้น และต้องเป็น Stereo อีกด้วย สำหรับมือกลอง หรือ มือเพอร์คัสชั่นจึงต้องใช้กลองไฟฟ้าจึงสามารถแจมได้ และมือกีต้าร์, มือเบสก็เช่นกัน หากใช้ FX ประเภทจำลองตู้แอมป์และเอาท์พุทเป็นสเตอริโอนั้นจะได้ผลตรงตามการออกแบบมาก อย่างไรก็ตาม Jamhub ได้แถมหัวแปลงจากแจ๊คโมโนเป็นสเตอริโอมาให้ หากมือกีตาร์หรือมือเบสจำเป็นจะต้องเสียบตรงทันที จากการลองเสียบตรงแบบนี้ดูพบว่า เสียงที่ได้ออกมาไม่เลว ทั้งกีตาร์และเบสครับ Clean นุ่มครับ


เงื่อนไขอีกอย่าง คือ Headphone ที่ใช้นั้นควรจะมีคุณภาพดีพอควร จึงจะแจมได้อรรถรสเพียงพอ ทำให้นักดนตรีแต่ละคนนั้นเตรียมอุปกรณ์ส่วนตัวได้ตามความชอบเอง

แจมฮับบนโต๊ะสำหรับนักดนตรีแนว Desktop

ในกรณีที่นักดนตรีที่ต้องอยู่ห่างจากตัวแจมฮับที่เป็นศูนย์กลาง และไม่สะดวกที่จะเดินมาปรับบ่อยๆ เช่นมือกลอง, มือคีย์บอร์ด หรือมือกีตาร์จอมขี้เกียจ ก็มีตัวรีโมทสำหรับปรับมาให้เสียบหูฟังได้มาให้ ซึ่งมีสายยาว 3.6ม. สำหรับรุ่น Green Room นี้แถมรีโมทมาให้ 1 อัน


แจมฮับทุกรุ่นจะมีภาคของการมิกซ์เพื่อบันทึกเสียงอยู่ตรงแกนกลางของเครื่อง โดยสมาชิกนักดนตรีที่เป็นหัวหน้าวงหรือสามารถรับผิดชอบเรื่องการบาลานซ์ซาวด์รวมของวงดนตรีได้จะเป็นผู้ควบคุมส่วนนี้ ซึ่งต้องประจำที่ผู้เล่นเบอร์ 1 จึงจะสามารถเลือกฟังสลับระหว่างซาวด์ที่มิกซ์เพื่อบันทึกเสียงหรือซาวด์แบบที่ปรับเพื่อซ้อมของตัวเองได้
สำหรับผลที่ได้จากการปรับมิกซ์ซาวด์รวมของวงเพื่อบันทึกเสียงนั้น สามารถส่งไปยังคอมพิวเตอร์ทางสาย USB บันทึกเข้าตรงกับซอฟแวร์ที่คุณถนัดได้ทันที จากการทดสอบนั้นคุณภาพที่ได้เหมือนกับที่ได้ยินในเฮดโฟนทีเดียว โดยจะบันทึกไปเป็น 2 Tracks หรือ Stereo Mix ซึ่งเรียกว่าไม่ยุ่งยากอะไรเลย หากคุณต้องการต่อ เอาท์พุทในแบบ Analog Line out ไปยังเครื่องขยายเสียง PA ก็มีช่องเสียบแบบ Phone Stereo ได้ทันที ทีนี้การเล่นดนตรีที่ทุกคนสามารถปรับเสียงยังได้ตามใจ แล้วได้ผลรับออกไปกำลังดีก็ทำได้ง่ายดาย


ในส่วนของผู้เล่นคนสุดท้ายนั้นสามารถต่อกับไมโครโฟนแบบ Condenser ที่ต้องการ Phantom +48V ได้


สำหรับไอเดียในการใช้งานนอกเหนือจากการซ้อมดนตรีแล้ว คิดว่าในงานสอนดนตรีนั้นน่าจะมีความสะดวกอย่างยิ่ง
ในงานสอนดนตรีแบบตัวต่อตัวหรือแบบวงแล้ว บ่อยครั้งก็มีปัญหาในเรื่องการควบคุมความดังเสียง และทั้งยังต้องการการสื่อสาร สนทนาพูดคุยระหว่างผู้สอนและผู้เรียน การใช้แจมฮับประกอบการสอนน่าจะเป็นไอเดียที่ทำให้เกิดการพัฒนาในการฝึกซ้อม และที่สำคัญเสียงจะไม่ดังไปถึงห้องเรียนข้างๆแน่นอน

ในกรณีเครื่องอะคูวสติคที่มีเสียงเบา สามารถใช้ไมโครโฟนดึงเสียงให้ได้ยินชัดเจนในหูฟังได้สบาย

เนื่องจากจุดเด่นในเรื่องของการ monitoring จึงอาจจะนำไปประยุกต์ใช้ในงาน Live เพื่อทำงานแบบ Ears Monitor หรือแม้แต่การ Monitor ด้วย Loud Speaker ตามปกติ สามารถเสริมการใช้งาน Aux send ที่มีจำกัดของ Mixer board ได้

การ Monitoring ในงาน Live Studio Recording แน่นอนว่าคงช่วยเสริมให้การฟังใน Headphone ง่ายขึ้น

การทดลองใช้ในแบบอื่นๆนั้นสามารถพลิกแพลงทำนอกเหนือคู่มือได้ จึงอาจนำภาคไมโครโฟนไปใช้กับเครื่องดนตรีได้ตามใจ Jamhub จึงอาจเป็น Mixer ตัวใหม่ที่เป็นประโยชน์สำหรับนักดนตรีหลายๆแนว

สรุปข้อดีข้อด้อย
- ออกแบบสำหรับการ monitoring แบบ Headphone ที่ดี คงทำให้นักดนตรีที่ไม่ชอบใช้ “Headphone” กลับมาเรียนรู้ประโยชน์ข้อนี้ดู
- หากคุ้นเคยกับการทำงานแบบนี้ จะสามารถพัฒนาทั้งทักษะการฟังและการปรับวิธีเล่นเพื่อการฟังได้มากมาย
- อย่าลืมว่าเมื่อมีทักษะการฟังและการเล่นที่ดีแล้ว ในการทำงานแบบชีวิตจริงที่ไม่ใช้หูฟังก็ยังคงควบคุมได้ดีด้วย
- น่าจะออกแบบมาแบบใช้กับ Battery ได้ด้วย จึงจะเรียกว่าแจมได้ทุกสภาวะ
- คงต้องเตรียมอุปกรณ์เสริมให้พร้อมสำหรับการใช้งานที่ได้ผลกับนักดนตรีทุกคน
- ลองเองดูครับ

เมื่อ Jamhub มาเยือนหนุ่มๆที่ร้าน Music Collection

แผนภาพวิธีการต่อใช้งานทั่วไป

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Tape Echo

ผ่านเข้ามาสู่ปี 2010 ซึ่งเทคโนโลยีในการผลิตงานดนตรีนั้นไปไกลสุดๆ สำหรับผมที่เป็นนักเขียนที่นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆมาตลอด 10ปีที่ผ่านมานั้น อยากจะลองนำเสนอเทคโนโลยียุคเก่าที่ยังคงความชาญฉลาดที่เป็นอมตะให้ผู้อ่านยุคปัจจุบันอ่านกันเพลินๆสลับไปบ้าง
มีเครื่องมือตัวหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังซาวน์ดนตรี Avanguard ในหลายๆงานเพลงระดับขึ้นหิ้ง ผมกำลังจะพูดถึง “Tape Echo” ซึ่งก็คือเครื่องทำเสียงเอฟเฟคท์ประเภทดีเลย์นั่นเอง ซึ่งในเอฟเฟคท์สมัยใหม่ของมือกีตาร์ยุคนี้นั้น จะมีดีเลย์ให้เลือกใช้อยู่จนเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับตัวเทปเอคโค่ที่จะเล่าให้ฟังนั้น จะมีความพิเศษและวิธีการแตกต่างไปจาก Digital Delay ทุกวันนี้ยังไง ลองติดตามอ่านดูครับ

Roland RE-201 “Space Echo”

หวังว่าผู้อ่านที่เป็นวัยรุ่นคงเคยใช้งานเครื่องเล่นเทปกันมาบ้าง จะขออธิบายถึงวิธีการทำงานของเทปเอคโค่ก่อน เจ้าเครื่องมือนี้จะทำการบันทึกเสียงที่ป้อนเข้ามาลงบนแถบบันทึกเสียง หรือเทปแม่เหล็กนั่นเอง แล้วนำเสียงที่บันทึกนั้นกลับมาเล่นให้ฟังด้วยหัวอ่านเทปที่อยู่ถัดไปตัวอื่นๆ ก่อนที่มันจะถูกลบด้วยเสียงที่เข้ามาใหม่ เกิดเป็นเอฟเฟคท์แบบ Delay นั่นเอง เทปที่ใช้นี้เป็นเทปขนาด 6 มิลแบบเดียวกับเทปม้วน Open Reel อื่นๆในยุคเดียวกัน เพียงแต่เอาปลายเทปด้านหนึ่งมาต่อกับอีกด้านเป็นลักษณะห่วงขนาดนึง (Tape Loop) เพื่อให้เนื้อเทปหมุนวนอัดและเล่นไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องพลิกกลับหน้าแบบระบบเทปคาสเซ็ท เนื้อเทปนี้ไม่ได้ถูกม้วนไว้แน่นๆ แต่กลับจับใส่ลงในกล่องเก็บเทปที่เรียกว่า Tape Chamber หรือ Tape Tank ในลักษณะขดไปมา ดูเปลืองที่แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เทปยับและถูกแรงดึงให้ยืดได้ง่าย ระบบกลไกการเดินเทปจะส่งต่อไปยังหัว
เทปทำการบันทึกและเล่นเสียงซ้ำไปมาได้

Tape Tank

ระบบกลไกการเดินเทป

วีธีการปรับแต่งเสียงดีเลย์ หรือเอคโค่ บนเครื่องนี้ จึงเป็นเพียงการควบคุมระบบการเล่นและอัดเทป เช่น
การควบคุมความเร็วในการเดินเทป (Tape Speed) เมื่อปรับให้เทปเดินเร็วขึ้น เสียงดีเลย์ก็จะเข้ามาเร็วขึ้น และถ้าปรับให้เทปเดินช้าลง เสียงดีเลย์ก็จะห่างออกไป ดังนั้นการปรับความเร็วในการเดินเทปจึงเท่ากับการตั้งค่า Delay Time นั่นเอง แต่ด้วยคุณสมบัติเฉพาะของการอ่านเทป เมื่อเทปถูกเล่นเร็วขึ้น นอกจากเสียงที่ออกมาจะเร็วขึ้น pitch หรือระดับเสียงก็จะสูงขึ้น และถ้าเทปเดินช้าลง ระดับเสียงก็จะต่ำลง แปรผันตามสปีดเทปที่ปรับไปมา จึงเป็นลักษณะพิเศษของเสียง delay ที่เกิดจากเทปเอคโค่นี้เท่านั้น
เทคนิคอีกอย่างนึงในการเพิ่ม-ลดจำนวนการซ้ำของเสียงดีเลย์ (Repeat) ในทางปฏิบัติคือ เนื่องจากแถบเทปแบบ loop นี้จะหมุนวนจนครบรอบซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดเวลา เสียงดีเลย์แรกๆจะทยอยถูกลบไปเมื่อเดินกลับมาถึงหัวอัดเทปอีกครั้ง เพื่ออัดเสียงใหม่ที่พึ่งเข้ามา แต่ที่หัวอัดของเทปเอคโค่นี้สามารถปรับความเข้มในการลบเทปได้ จึงยังคงเสียงเก่าและรวมเข้ากับเสียงใหม่ไว้ได้ มากน้อยตามการปรับ และเมื่อเสียงเก่านี้เดินทางกลับเข้าไปถูกอัดใหม่อีก ซ้ำไปเรื่อยๆเสียงดีเลย์ก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ (Super Feedback) การอัดเทปทับ (Dubbing Tape) นั้นทำให้เกิดซาวด์เฉพาะตัว เสียงดีเลย์ที่เกิดจากเทปเอคโค่จึงไม่สามารถถูกลอกเลียนแบบได้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน (Dub Sound)
การปรับค่าอื่นๆก็ได้แก่ การเปิดปิดหัวอ่านเทปตัวที่ 2 ที่ 3 จึงสามารถเปลี่ยนระยะการกิดดีเลย์ได้ทันที จึงมีประโยชน์ในการตั้ง Delay time ให้ตรงกับกับจังหวะในการเล่นดนตรีพอดี จึงเปลี่ยน Eight ไปเป็นแบบ Eight Triplet ก็ได้
การควบคุมความดังของเสียงที่เข้ามา โดยมีหน้าปัดแบบเข็มกระดิกบอกความแรงของสัญญาณ ที่ฝั่งขาออกก็มีปุ่มปรับเพื่อผสมเอาเสียงเอคโค่หรือดีเลย์ที่ได้จากเครื่องนี้ มากน้อยแค่ไหน
สามารถการปรับโทนของเสียงเอคโค่ด้วย EQ ซึ่งทีแรกอาจจะมีไว้เพื่อปรับปรุงความชัดของเสียงเอคโค่ เพราะได้มาจากการอัดเทปทับ เสียงจึงมีการทุ้มลงโดยธรรมชาติ แต่เราสามารถแต่งเป็นโทนต่างๆที่ต้องการด้วย EQ นี้เพียงเพิ่ม-ลด bass หรือ treble
โดยสัญญาณเสียงทั้งหมดที่ออกไปนี้ ตั้งให้แรงมากน้อยเพื่อเหมาะสมกับอุปกรณ์ที่จะไปต่อพ่วงได้ 3 ระดับ (-10, -20, -35db) จึงสามารถเอาไปใช้เป็นเอฟเฟคท์สำหรับ Instrument (กีตาร์) หรือ Vocal (ไมค์) หรือในการ Mixing ก็ได้

Roland Space Echo RE-201

จากที่เคยใช้ Tape Echo นี้มา นอกจากจะสามารถผลิตเสียงดีเลย์ที่แปลกล้ำคาดเดาได้ยากแล้ว เนื้อเสียงยังหนานุ่ม อุ่น และมีมิติมากนัก ตัวมันเองยังสามารถประดิษฐ์เป็นเสียง Sound Fx ได้ตามลำพังเองแม้ไม่ได้ต่อไมโครโฟนหรือเสียงใดๆเข้าไป โดยการปรับปริมาณการซ้ำของดีเลย์ให้มากที่สุดไว้ เมื่อลองปรับสปีดการป้อนเทปหรือปุ่มอื่นๆไปมา ก็จะสามารถกำเนิดเสียงอันเกิดจากการสั่นสะเทือนของกลไกของมันเองได้อย่างน่าทึ่ง เป็นเทคนิคที่นักเล่น Echo สายทดลองรู้จักกันดี จึงมีเทปเอคโค่รุ่นดังที่ตั้งชื่อว่า “Space Echo” ผลิตโดยบริษัท Roland เพราะเทปเอคโค่นั้นให้เสียงแบบอวกาศจริงๆ แน่นอนว่าเทปเป็นวัสดุที่สึกหรอได้ เมื่อใช้ Tape Echo ไปนานๆก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเนื้อเทปใหม่ อายุการใช้งานของมันอยู่ที่ 200ชั่วโมง ถึง 300ชั่วโมงในรุ่นปรับปรุงรุ่นใหญ่ (RE-501)

Roland Chorus Echo RE-501
จากอายุของเครื่องชนิดนี้ (Roland RE-100 เกิดปี1973) พบว่ายังถูกนำมาใช้ในวงดนตรีแนวหน้ามากมายจนถึงทุกวันนี้ ที่จดจำได้ดีจากงานเพลงในแบบทดลองของวงดนตรีดังอย่าง Radiohead และก่อนหน้านั้นดนตรีร๊อคแอนด์โรลดั้งเดิม (Rockabilly) ใช้กันมากมายในซาวด์แบบ Slap back Delay อย่าง Brian Setzer จนกลายเป็นซาวด์ดนตรีชนิดนี้ไปเลย ต้องมี Slap back Delay ถึงจะเป็นดนตรีแนวนี้ได้ นอกจากนี้เทปเอคโค่ของ Roland รุ่น RE-201 หรือ Space Echo นี้ยังถูกใช้ในงานดนตรีอิเลคทรอนิคส์ในสมัยใหม่นี้เป็นอย่างมาก
แม้ Space Echo รุ่นดังนี้จะหาซื้อในสภาพใช้งานได้ดีไม่ง่าย แต่บริษัทที่ทำเอฟเฟคท์สำหรับกีตาร์ไฟฟ้าของ Roland ในปัจจุบันก็คือ Boss ได้ทำรุ่นใหม่ที่เลียนแบบมาด้วยเทคโนโลยีแบบดิจิตอลชื่อรุ่น RE-20 มาทดแทน

ศิลปินที่ใช้เทปเอคโค่ทำงานเพลงจนเป็นงานลักษณะเฉพาะที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เพลง ได้แก่
Nick McCabe of The Verve
Brian Eno
Jonny Greenwood of Radiohead
Noel Gallagher of Oasis
Leftfield
Pink Floyd
Tim Simenon
Sonic Youth
Zombie Nation
Alan Vega of Suicide
Wata of Boris
Lee "Scratch" Perry
King Tubby

อ้างอิงจาก Wikipedia