วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Nord Wave's Oscillator

สวัสดีครับ ครั้งที่แล้วอธิบายมาถึงเรื่องของ Envelope นั่นคือวิธีการที่พบบ่อยในระบบของ Synthesizer ซึ่งเวลาที่เราเล่นโน้ตด้วยการกดคีย์เปียโน แล้วอยากให้เสียงดังออกมาแบบ Slow Attack คือค่อยๆดังออกมา หรือจะให้เสียง Release ค้างยาวออกไป หรือจะให้สั้นห้วนแค่ไหน อันนี้ควบคุมด้วยการตั้งค่าของ Envelope เอาไว้ก่อน ซึ่งเท่ากับว่าเสียงของเราถูก Modulation กับ Envelope ไว้แล้วนั่นเอง ส่วนคราวนี้มารู้จักต้นตอของเสียงที่นำมา Synthesis กันบ้าง

Oscillators (OSC1 &OSC2)
ในส่วนของ OSCILLATOR นั้น เป็นภาคของการผลิต waveform ที่มากับ harmonic หลายๆแบบ นี่เป็นคุณสมบัติสำคัญของเสียงเพราะสามารถนำไปเปลี่ยนรูปร่างได้อีกหรือจะมา Modulate กันทีหลังก็ได้ตามแต่เราจะกำหนด ที่ Nord Wave จะให้มี OSCILLATOR มา 2 ตัว ใช้ได้พร้อมกัน ซึ่งเราจะนำมา Mix หรือจะนำมา Modulate กันเองก็ได้ เพื่อจะเกิดโครงสร้างของ harmonic ที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก
ใน OSC 1 และ 2 จะมีสวิตซ์กดเลือก Waveform โดยมีให้เลือกดังนี้

Pulse
เลือกได้ทั้งจาก OSC1 และ 2 ซึ่งจะเสียงจาก pulse นี้จะมีคาแรคเตอร์แบบ hollow (โปร่ง) มากับ harmonic ที่เป็นจำนวนคี่เท่านั้น ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามความกว้างของ pulse สำหรับ pulse ที่ขนาดแคบๆจะได้ยิน harmonic มากกว่า มีเทคนิคที่เรานำ LFO ไป Modulate กับความกว้างของ Pulse นี้เพื่อให้เปลี่ยนแปลงไปมา เราเรียกเทคนิคนี้ว่า Pulse Width Modulation (PWM) ซึ่งจะได้เสียง Strings สังเคราะห์ที่เจอบ่อยๆ
เราใช้ปุ่ม Shape ในการปรับความกว้างของ Pulse แต่ถ้า OSC1 อยู่ใน Sync mode ปุ่ม Shape จะใช้ปรับค่า pitch ของ pulse แทนโดนความกว้างของ pulse จะอยู่ที่ 33%
*หมายเหตุ ปุ่ม Sync โหมด กดเพื่อให้ OSC 1 และ 2 มี pitch ที่สอดคล้องกันตลอด โดยสามารถปรับเปลี่ยนค่า pitch ได้ที่ปุ่ม shape ของ OSC 1

Sawtooth
เลือกได้ทั้งจาก OSC1 และ 2 เช่นกัน ซึ่งจะเสียงจาก sawtooth นี้จะมีผลิตซาวน์ที่เรียกว่า Rich ได้เพราะมันมีจำนวน harmonic ทั้งคู่และคี่
ปุ่ม shape ไม่มีผลอะไรกับ sawtooth นี้ แต่ถ้าอยู่ใน Sync mode ปุ่ม Shape ก็จะใช้ปรับค่า pitch ของ OSC ทั้งสองตัวแทน

Triangle
เลือกได้ทั้งจาก OSC1 และ 2 อีกเช่นกัน แต่มีแค่ harmonic จำนวนคี่เท่านั้น เสียงออกไปทางนุ่มนวล
ปุ่ม shape ไม่มีผลอะไรกับ sawtooth นี้ แต่ถ้าอยู่ใน Sync mode ปุ่ม Shape ก็จะใช้ปรับค่า pitch ของ OSC ทั้งสองตัวแทน

Wave
Wavetables (Wave) เลือกได้จาก OSC1 เท่านั้น โดยจะมี Waveform ต่างๆในตารางเสียงให้เลือก แต่ละอันจะเป็นแซมเปิ้ลเสียงขนาดสั้นๆแค่หนึ่งรอบ (Single Cycle Sample) การเลือกใช้ Wave มา Synthesis ต่อนั้น จะสามารถมีเสียงที่ Rich และหลากหลายมากขึ้นกว่า Waveform พื้นฐาน ในตารางเสียงนี้มีทั้งหมด 62 wavetables โดยใช้ LED-dial หมุนเลือกซึ่งจะแสดงชื่อในจอ LCD
ปุ่ม shape ไม่มีผลอะไรกับ Wave เลย

Sample Instruments
Sample Instruments หรือ SAMP นั้นเลือกได้จาก OSC2 เท่านั้น นั่นคือชุด Sample เสียงเครื่องดนตรีขนาดใหญ่ พร้อมเล่นเป็นเครื่องดนตรีนั้นได้ทันที มีได้ถึง 99 Sample Instruments ที่ผลิตมาจากโรงงานและสามารถดาวน์โหลดเพิ่มได้มากมายโดยเชื่อมต่อกับ PC หรือ MAC จะพูดถึงส่วนนี้ทีหลัง

Sampled Waves
Sampled waves (SWAV) นั้นเลือกได้จาก OSC2 เท่านั้น ใกล้เคียงกับ wavetables แต่จะเป็นแซมเปิ้ลของเสียงเครื่องดนตรีอะคูวสติคซึ่งจะมีส่วนของเสียง attack ธรรมชาติตามที่มา ต่อจากนั้นจะเป็นส่วนที่ loop ได้เพื่อให้เสียงนั้นยาวขึ้นได้
ปุ่ม Shape2/Decay ของ OSC2 จะใช้กำหนดความสั้นยาวของเสียง (Decay) สำหรับทั้ง SWAVE และ Sample InstrumentsS

FM-Synthesis
FM-Synthesis (FM) หรือการสังเคราะห์แบบ Frequency Modulation เลือกได้จาก OSC1 และ OSC2 โดยวิธีการ Modulation แบบ FM นี้จะใช้ความถี่ (Frequency) ของ oscillator ตัวหนึ่งเป็น “พาหะ” (Carrier) ซึ่งจะนำไป modulated กับ wave ที่ได้จาก oscillator ตัวอื่น (the Modulator) ผลที่ได้คือ ความของ Carrier จะเปลี่ยนแปลงตาม amplitude ของ modulator wave สำหรับใน OSC1 และ2 นี้สามารถเลือกให้ modulated กับตัวมันเองโดยใช้วิธีการป้อนกลับสัญญาณ (feedback)
ปุ่ม Shape จะใช้ปรับเพื่อป้อนกลับสัญญาณ(ตัวมันเอง) เพื่อทำการ frequency modulated น้อยไปมาก
รูปที่สองนี้นอกจากจะทำการ frequency modulated โดยตัวเองจาก OSC1 และ 2 แล้วยังนับผลลัพธ์ทั้งสองมา modulates กันเองอีกแล้วจึงนำผลลัพธ์มา Mix กัน ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายนั้นไปไกลกว่า waveform พื้นฐานเช่น Sine มากนัก เราจะได้ทั้งโทนเสียงและ harmonic ที่เพิ่มขึ้นด้วยวิธีการ FM-Synthesis (FM) นี้เอง
การ Modualtion หลายซับหลายซ้อนนี้ ยังมีอีกมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งเราจะใช้คำว่า “อัลกอริทึ่ม” หรือ FM Algorithm จากการทดลองมากมาย ผู้ผลิต Syhtesiser แบบ FM จึงมีอัลกอริทึ่มเด่นๆมาให้เลือกลอง สำหรับ Nord Wave นั้นจัดมาทั้งหมด 19 อัลกอริทึ่มตามตารางนี้
ปุ่ม Shape2 และ Shape1 ใช้ปรับปริมาณการ frequency modulated น้อยไปมาก
ปุ่ม LED-dial ใช้เลือกto select FM-algorithm.
วิธีอ่านตาราง บนตารางจะมีคำว่า OP มาจาก Operator หมายถึง oscillators จำนวน 2 ตัว โดยกำหนดให้ตัวหนึ่งเป็น Carrier และอีกตัวหนึ่งเป็น Modulator เราเรียการเซ็ทอัพนี้ว่า 2 operator FM-Synthesis, เขียนย่อว่า 2-OP แสดงในจอ LCD

Feedback เป็นการป้อนกลับสัญญาณตัวมันเองไป modulate กับตัวเอง ปุ่ม shape จะใช้ควบคุมปริมาณการป้อนกลับและการ modulation ไปในตัว
Frequency ratio
โดยการกำหนดให้ the Modulator มีความถี่แตกต่างไปจาก Carrier ตามอัตราส่วน ซึ่งผลจากการ modulate กันแล้วจะได้ harmonic แตกต่างไปอีก
จากรูปแสดงการ modulation ระหว่าง Modulator ซึ่งมีความถี่สูงกว่าความถี่ของ Carrier เป็นอัตราส่วน 9:1 และผลลัพธ์ที่ได้

Sine
กลับมาพูดถึง Sine ซึ่งเป็น waveform พื้นฐานกลับไม่มีให้เลือกโดยตรงใน OSC1 และ2 แต่เราสามารถสร้างได้โดยเลือกเป็น FM แล้วปรับที่ปุ่ม shape เป็นศูนย์ นั่นคือไม่ modulate เลย

Misc
Misc ได้แก่ waveform อื่นๆ มีให้เลือกใน OSC1 เท่านั้นซึ่งจะมีบรรดาพวก noise ให้เลือกอยู่ด้วย

Noise
เมื่อเลือกให้เป็น noise ซึ่ง waveform ชนิดนี้จะไม่มีระดับเสียงเหมือน waveform อื่นๆ แต่จะมี color ซึ่งหมายถึงองค์ประกอบของความถี่แทน โดยปุ่ม shape1 จะแทนด้วย lowpass filter เมื่อหมุนตามเข็มไปซาวน์ของ noise จะสว่างขึ้น และถ้าหมุนไปสุดจะใกล้เคียงกับ white noise คือทุกๆความถี่จะแสดงออกเป็นพลังงานเท่ากัน

SEMI TONES knob
อยู่ที่ OSC2 ใช้ปรับค่า pitch ของ oscillator2 สัมพัทธ์กับ oscillator1 ไปทีละครึ่งเสียง ได้จาก -24 semi tones หรือ -2 octaves ไปถึง +24 semi tones หรือ +2 octaves นั่นเอง

Fine tue knob
ใช้ปรับค่า pitch โดยละเอียดคือ +-50 semitones
ถ้าเรา Mix OSC ทั้งสองเท่ากันและให้มี pitch เท่ากันด้วย เมื่อปรับค่า Fintune pitch ของ OSC2 ไปเล็กน้อยนั่นคือให้เพี้ยนกันเพียงเล็กน้อยจะทำให้ซาวน์ฟัง “rich” ขึ้นมาได้ นี่เป็นเทคนิคเดียวกับการออกแบบเครื่องดนตรีอะคูวสติคที่เคยมีมาเช่น แอคคอเดี้ยน หรือ กีตาร์12สาย

Oscillator Modulation (OSC MoD)
ที่ปุ่ม oscillator modulation นั้นคือปรับให้ OSC2 ทำการ modulating กับ OSC1 ซึ่งบน Nord Wave มีชนิดของการ mod ให้เลือกทำได้สองแบบคือ Frequency Modulation และ Phase Modulation
เราจะได้ผลจากการ Mod กันเองนี้ทาง OSC1 ซึ่งจะมี harmonic ที่เปลี่ยนไปในขณะที่ Frequency เดิม หากต้องการฟัง OSC2 ด้วยก็สามารถปรับที่ปุ่ม OSC Mix ได้เช่นเคย

Frequency Modulation (fm)
วิธีการนี้จะทำให้เกิดช่วงความถี่ที่กว้างขึ้น (wider spectrum) และผลลัพธ์ของเสียงนั้นจะรู้สึกได้ว่าดิบและสว่างกว่าปกติ ส่วนองค์ประกอบของ harmonic นั้นเปลี่ยนไปอย่างดุเดือดขึ้นกับช่วงโน้ตที่เราเล่น ดังนั้นแต่ละโน้ตอาจจะให้ซาวน์ไม่เท่ากันเป็นเรื่องปกติ
Phase Modulation (PM)
วิธีการนี้จะทำให้เกิด harmonic ที่สัมพัทธ์เหมือนกันตลอดไม่ว่าเราจะเล่นโน้ตในช่วงไหน จึงให้ซาวน์ที่ราบรื่น
เลือกวิธีการ Modualtion กับปริมาณการ Mod ได้จากปุ่ม Type และ Amount ตามลำดับ

Oscillator mix
ปุ่ม OSC Mix นั้นใช้ปรับบาลานซ์ความดังระหว่าง OSC1 และ 2 เราสามารถเอาแต่เสียง OSC1 อย่างเดียวได้โดยบิดไปทางซ้ายสุด หรือกลับกัน

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Analog Synthesiser by Nord Wave

เมื่อสองเดือนที่แล้วผมได้รับความเอื้อเฟื้อจากบริษัทออดิทรัลโปรให้ยืมซินทิไซเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดจากสวีเดน มันมีชื่อว่า Nord Wave ซึ่ง ในอุตสาหกรรมเพลงบ้านเรานั้นไม่ค่อยได้ใช้เครื่องดนตรีประเภทนี้เท่าไหร่ นอกจากผู้ที่มีความสนใจส่วนตัวจริงๆ ไม่ก็เป็นผู้ที่ทำเพลงแนวอิเลคทรอนิคส์ หรืองานออกแบบเสียง (แต่จริงๆไม่เกี่ยวกับแนว) ที่สำคัญราคาของเจ้าเครื่องนี้นั้นจัดว่ามากเอาการ ถ้าหากใครไม่รู้ว่าจะนำไปใช้อะไรยังไง ถ้าไม่มีเงินเหลือเฟือก็คงไม่กล้าลงทุนซื้อมาลองเล่นๆดู อันที่จริงผมก็เป็นผู้ที่สนใจเครื่องดนตรีประเภทนี้ควบคู่กับเรื่อง ซอฟท์แวร์มาตลอด ทำให้มีไอเดียถึงเนื้อหาที่จะเขียนต่อไปเป็นเรื่องของซินทิไซเซอร์นั่นเอง ซึ่งไม่ใช่อิเลคทรอนิคส์คีย์บอร์ดหรือเปียโนที่เห็นในปัจุบันนี้ แต่เป็นแบบที่เรียกว่า อะนาล็อกซินฯ นั่นคือซินยุคต้นแบบ เป็นไงนั้นลองติดตามอ่านไปซักนิดครับ

เครื่องมือที่เรียกว่า Analog Synthesizer นี้ เป็นอุปกรณ์สำคัญมาช้านานของนักแต่งเพลง ไม่ใช่เพราะมันแค่สามารถสังเคราะห์เลียนเสียงเครื่องดนตรีต่างๆได้ แต่เพราะเรนจ์ของเสียงที่กว้างขวางของมันและความอิสระของ Pitch เหล่านักดนตรีทั้งหลายจึงให้ความสนใจมัน หากคุณได้ติดตามหน้าประวัติศาสตร์ของดนตรีทั้ง Jazz และ Rock&Roll มา ตั้งแต่ยุค 60 ก็ได้นำเครื่องดนตรีประเภทนี้มาใช้อย่างน่าอัศจรรย์ และมันก็ไม่ใช่งานของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น



Kraftwerk วงดนตรีที่มีผลงานตั้งแต่ปี1970มาจนถึงปัจจุบัน พวกเค้าใช้เครื่องดนตรีแบบอิเลคทรอนิคส์และเป็นต้นแบบดนตรีแนว Kraut Rock


พักเรื่องประวัติศาสตร์ไว้นิด การที่คุณจะเริ่มใช้ซินทิไซเซอร์สังเคราะห์เสียงคล้ายๆกับแบบที่ต้องการขึ้น มาได้นั้น คุณจะต้องศึกษาเรื่องของ Waveform หรือรูปคลื่น (เสียง) และการผสมคลื่น (Modulation) และ ยังต้องชอบสังเกตเครื่องดนตรีต่างๆ ลักษณะการเกิดเสียงของมัน สั้น-ยาว เร็ว-ช้ายังไง รวมไปถึงเสียงต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ เราจะเอาข้อสังเกตต่างๆเหล่านั้นมาเป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการสังเคราะห์ เสียงอย่างมีหลักการหรือนอกหลักการได้เป็นอย่างดี


Waveform พื้นฐานนั้นได้แก่ Sine Wave, Triangle Wave, Saw(tooth) Wave, Square Wave

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา อะนาล็อกซินทิไซเซอร์นั้นก็ใช้เจ้าคลื่นหน้าตาพื้นฐาน 3-4 ตัวนี้ กับเสียง Noise อีกตัวมาผสมกันเป็นเสียงต่างๆได้ เมื่อผมได้เห็นเจ้า Nord Wave และเล่นดูก็พบว่ามันยังคงวิธีการแบบเดิมไว้ทั้งสิ้น ผมจึงขออนุญาติใช้มันเป็นต้นแบบในการเขียนเรื่อง Analog Synth นี้ต่อไปเลยล่ะกัน ซึ่งอาจจะไม่ได้เล่าแบบ 1 ไป 10 เพื่อความเข้าใจไปทีละนิด


หน้าตาของ Nord Wave

Analog Synth ตัวแรกๆนั้นสามารถเล่นได้ทีละโน้ตเท่านั้น (กดเป็นคอร์ดไม่ได้) เราเรียกว่า monophonic synth มันจึงมักถูกใช้เป็นเครื่องดนตรีประเภท Lead หรือ Bass Line สำหรับรุ่นที่ต่อๆมาพัฒนาให้กดได้มากกว่านั้น จึงกลายเป็น Polyphonic Synth จึงมักจะถูกใช้ทำเสียงพวก Chords Pad หรือ Strings เพียงแค่นี้ทั้งสองแบบนี้ก็กลายเป็นคนละเครื่องดนตรีเพราะมีวิธีเล่นที่ต่างกัน บน Nord Wave นั้นสามารถเป็นได้ทั้งสองแบบ โดยจะมีปุ่มกดให้เป็น mono mode เพื่อใช้เทคนิคการเล่นแบบ Lead Synth บนคีย์บอร์ดได้


ใกล้ๆปุ่ม mono mode มีปุ่ม legato ที่ทำให้เสียงโน้ตลากยาวค้างไปตลอด เมื่อเล่นคีย์บอร์ดจะเปลี่ยนแค่ pitch เท่านั้น นี่ก็เป็นเทคนิคนึงในการเล่นแบบ Lead ใน Analog Synth อื่นๆจะเป็นสวิตซ์ที่เขียนว่า Hold

และใกล้ๆอีกจะมีปุ่มหมุนเขียนว่า Glide เมื่อหมุนไปซักนิดนั้น จะทำให้เวลาที่คุณเล่นโน้ตใดค้างไว้แล้วเล่นโน้ตตัวต่อไป เสียงโน้ตตัวแรกจะโหนไปหาตัวที่สอง ใน Analog Synth อื่นๆจะเป็นปุ่มหมุนหรือ Fader ที่เขียนว่า Portamento

ทั้ง Glide และ Legato นี้เป็นเทคนิคอันโดดเด่นในวิธีการเล่นแบบ Lead Synth ซึ่งบน Nord Wave นั้นจัดไว้ใกล้กันเพื่อง่ายต่อการเรียกใช้


Front Panel – ฟร้อนท์พาเน่ล หรือ แผงควบคุมด้านหน้า


ก็คือแผงหน้าที่มีปุ่มไว้ปรับค่าต่างๆนั่นเอง
บนพาเน่ลของ Nord นั้นแบ่งออกเป็น 3ส่วนใหญ่ๆคือ
- Program and Performance area เป็นส่วนที่ใช้เลือกโปรแกรมเสียงและควบคุม Master Level
- Synth area ส่วนนี้ จะมีปุ่มสำหรับปรับแต่งค่าของ Synth
- Effect area ส่วนนี้เป็นการตั้งค่าเอฟเฟคท์เพิ่มเติม


บนส่วน Program จะมี LCD (แอลซีดี) จอสีฟ้าสำหรับแสดงผลเป็นตัวหนังสือในขณะเลือกเสียงหรือกำลังปรับค่าต่างๆ สำหรับอุปกรณ์ที่เรียกว่า LCD นี้ ตัว “L” มาจาก “Liquid” (ลิควิด) แปลว่า ของเหลว ซึ่งบนหน้าจอของ LCD นั้นภายในมีของเหลวที่ใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้แสดงผลเป็นรูปหรือตัวหนังสือต่างๆได้ ซึ่งเรามักจะเห็นจอแบบนี้มาตั้งแต่หน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลยุคแรกๆ หรือพวกเกมกดยุคแรก และพัฒนาต่อไปจนแสดงเป็นภาพสีได้


Knob and Dial


Knob หรือ น็อบ ก็คือปุ่มหมุนใช้ปรับค่าต่อเนื่องต่างๆ เช่น โวลุ่ม ที่เราใช้มาตลอด เป็นลักษณะหมุนไปสุดขอบซ้ายขวา


Rotary Dial โรตารี่ ไดล์ เป็นปุ่มหมุนแบบไม่ต่อเนื่อง คือเวลาหมุนจะดังและเลื่อนไปทีละแกร๊ก และจะหมุนได้รอบ วิธีการคือมันจะเพิ่มค่าทีละ 1 เมื่อหมุนตามเข็มนาฬิกา และลดค่าลงทีละ 1 เมื่อหมุนย้อนเข็ม มักพบในกรณีต้องปรับค่าที่ต้องการความเที่ยงตรง สำหรับบน Nord Wave มีโรตารี่ ไดล์ตัวใหญ่อยู่ 1 ตัวข้างๆจอ LCD ถ้าคุณกำลังปรับค่าใดๆด้วยน็อบนั้นๆอยู่ ที่จอ LCD ก็จะแสดงค่าที่กำลังปรับอยู่เป็นตัวเลข ค้างไว้ เราสามารถใช้โรตารี่ไดล์ปรับต่อซึ่งจะง่ายในการไปยังค่าที่ต้องการได้เที่ยงตรง สะดวกต่อจากใช้น็อบแบบธรรมดา ในการเลือกโปรแกรมเสียงไปทีละเบอร์ก็ไดล์จากปุ่มนี้เช่นกัน


LED Dials ก็เหมือนกับ โรตารีไดล์ นั่นเองแต่จะมีจอแบบ “LED” แสดงผลค่าของมันเองเป็นตัวเลข ซึ่งจะได้เลือกรูป Waveform ของ OSCillator ในส่วนของ Synth
สำหรับอุปกรณ์ที่เรียกว่า LED ตัว L นั้นมาจาก “Light” แปลว่าแสง ซึ่งทำมาจากอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ที่เรียกว่าไดโอดที่ปล่อยแสงได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้าเข้าไปถูกทาง ต่างจาก LCD โปรดระวังสับสน
ในการแสดงผลด้วย LED ให้มองเห็นเป็นตัวเลข จึงใช้ไดโอดเรืองแสงที่ว่านี้ 7 ตัวมาต่อวงจรกัน เราเรียกชื่อเทคนิคนี้ว่า 7 Segment LED เพราะเราสามารถเขียนตัวเลข 0-9 ได้จากการขีดเส้น 7 เส้น ในนี้อาจจะเพิ่มตัวที่ 8 เพื่อแสดงผลเป็นจุดทศนิยม


รูปจาก http://www.lc-led.com/Catalog/department/36/category/49


Master Level Knob ใช้ควบคุมความดัง ซึ่งควรใช้แบบน็อบธรรมดาเพื่อเปิดหรี่เสียงได้ทันตามความรู้สึกที่คุ้นเคย นั่นเพราะ Nord Wave ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นสดได้ดี แต่บนอุปกรณ์ในสตูดิโอที่ใช้ทำงาน Mastering เสียง มักจะเป็นแบบโรตารี่เพราะมันจะได้ตั้งค่าความดังได้เที่ยงตรงทุกครั้งไป


Buttons – ปุ่ม



Selector Buttons หรือปุ่มกดเลือกค่า ใช้วิธีการง่ายโดยกด 1ครั้ง ก็จะเปลี่ยนไปทีละค่า มักใช้เวลาที่มีค่าให้เลือกไม่เยอะนัก ในการเลือก Wave Form ในส่วนของ LFO เมื่อกดปุ่มเลือกไฟก็จะติดตำแหน่งที่รูป Wave form นั้นๆ เริ่มจาก Square Wave ไป Sawtooth และ Triangle ตามลำดับ และถ้ากดต่อไป ไฟจะติดสองดวงที่ Square และ Saw นั่นหมายถึง Waveform ของ LFO จะเป็น Random pulse และถัดไปก็คือ Random Sine…


On/Off Buttons ปุ่มเปิดปิดค่าต่างๆบน Nord Wave ใช้กดหนึ่งทีเปิดกดอีกทีปิดโดยแสดงด้วยไฟ LED หนึ่งดวง


Shift Button ในปุ่มปรับค่าต่างๆรวมทั้งน็อบ บางปุ่มจะมีสองฟังก์ชั่นในปุ่มเดียว คือใช้ปรับได้สองค่า เราจะกดปุ่ม Shift นี้ค้างไว้ เพื่อปรับค่าที่ซ่อนอยู่ลำดับที่สอง


ทำความเข้าใจเรื่อง Envelope


กลับจากวิธีการใช้ปุ่มต่างๆมาเรื่องของ Synth กันต่อ เรามักจะพบตัวหนังสือที่เขียนว่า ADSR บน Synth หรืออิเลคทรอนิคส์คีย์บอร์ดทั้งหลายผ่านตามาบ้าง ADSR นั้นมาจากคำว่า Attack, Decay, Sustain, Release ตามลำดับ ซึ่งรวมเรียกว่า Envelope ค่าเหล่านี้มีจะใช้หน่วงเวลาในการกระทำต่างๆบน Sythesizer ตัวอย่างที่พบอยู่ตลอดคือการใช้ ADSR กับความดังของเสียงเวลาเล่นด้วยคีย์บอร์ด

บน Nord Wave จะมีส่วนของ MOD ENV ซึ่งจะมีน๊อบปรับค่า Attack และ Decay/Release ง่ายๆสองค่า

พิจารณาความเข้าใจง่ายๆ คีย์บอร์ดก็เป็นแค่สวิตช์ เหมือนสวิตช์เปิดปิดไฟ (Gate) กดเปิดก็สว่างทันที กดปิดก็มืดทันที (ไม่นับไฟนีออนที่ Starter เสียนะครับ) เมื่อเรากดคีย์บอร์ดลงไปเสียงจะดังออกมาทันที และเมื่อเราปล่อยคีย์นั้นเสียงก็จะเงียบทันที แต่ถ้าเราเลือกใช้สวิตช์ไฟแบบมี dimmer ปรับความสว่างได้ ช่วงที่เราจะปรับ dimmer ให้ไฟสว่างสุดและค่อยๆหรี่จนมืดไปเปรียบกับการเปิดปิดแบบมี Envelope นั่นเอง การกำหนดให้ Envelope มีผลต่อความดังของเสียงเมื่อเล่นด้วยคีย์บอร์ดไว้ เสียงที่ดังออกมาและกำลังจะเงียบลงไปมีลักษณะนุ่มนวลคล้ายกับธรรมชาติได้
เปรียบเทียบกับการเกิดเสียงจากการเล่นเครื่องดนตรีอะคูวสติก ในจังหวะที่ดีดสายกีตาร์ลงไปจะเกิดเสียงขึ้นมาครั้งแรกสุดเราเรียกว่าเสียง “กระแทก” หรือ “Attack” ซึ่งเกิดจากปิ๊กกีตาร์ หรือจะเป็นเล็บหรือมือ กระทบกับสายดังขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆนี้และหายไปทันที ต่อจากนั้นจะเป็นเสียงสายกีตาร์สั่นดังต่อไปช่วงเวลานี้เราเรียกว่า เสียงยังคง Sustain ต่อไป และค่อยๆเงียบในที่สุด (Release)


จากรูป เมื่อกดคีย์ลงไป (Key Down) เสียงจะใช้เวลาสั้นๆในการดังขึ้นมาแล้วเงียบลงไป เมื่อเสียงขึ้นไปจนดังสุดช่วงเวลาต่อจากนั้นที่เสียงกำลังเงียบลงไปอย่างรวดเร็วเราเรียกว่า Decay (แปลว่าการเสื่อมลง) ดังนั้นการปรับให้ Synth เล่นเสียงที่ Attack เร็วและสั้น จะต้องปรับให้ค่า Attack และ Decay น้อยที่สุด ซึ่งหากมี Decay ที่สั้นมาก แม้จะกดคีย์บอร์ดค้างต่อไปก็ไม่มีเสียงแล้ว ลองสังเกตเสียงเปียโนหรือเครื่องดนตรีอะคูวสติกอื่นๆนั้นมีความสั้นยาวของ Decay เป็นยังไง


รูปที่สองหลังจากที่กดคีย์ลงไป (Key Down) แล้วยังกดแช่ไว้ ช่วงเวลานี้คือ Sustain ซึ่งเสียงยังคงดังต่อเนื่องไป แต่เมื่อปล่อยคีย์ (Key Up) แล้วเสียงค่อยๆเงียบลงไปนั่นคือเสียงใช้เวลาในการ Release (ปล่อย) อยู่ไม่นานนัก ถ้าเสียงเงียบลงทันทีนั่นคือช่วงเวลา Release เป็น 0

ในทางปฏิบัติเมื่อเราเล่นดนตรีเราสามารถควบคุมให้เสียงที่เราเล่นดังเบาได้ตามวิธีการฝึกของเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ หากเราสังเกตสำเนียงในการเล่นดนตรีในแต่ละโน้ตของเรา และลองปรับบน Synthesizer ด้วย ADSR Envelope นี้ น่าจะพอจินตนาการในการออกแบบเสียงด้วย Analog Synthesizer ได้ดี บน Synthesizer ที่ Advance นั้นยังใช้การตั้งค่า ADSR ให้กับการเล่นแบบอื่นๆเช่น น๊อบบนค่าอื่นๆซึ่งจะทยอยมาลงต่อๆไป

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Side Chain Compression

สำหรับคนที่เป็นคอเพลงเต้นรำคงเคยสังเกตว่าเพลงสไตล์แบบ French House ทั้งหลายนั้นมีวิธีการคอมเพรสซาวน์ที่รุนแรงจนเป็นเอกลักษณ์ แม้ตัวดนตรีแบบ House จะมีลักษณะเฉพาะอยู่แล้ว ทุกๆแทร็คยังจะมีเสียงที่ดังมากจริงๆ ในแวดวงดีเจจะเรียกซาวด์แบบนี้ว่า “push-pull” อธิบายเหมือนเวลาซาวน์มันกระแทกจะเป็นแบบผลักๆดึงๆ บางทีก็เรียก “breathing” เพราะเหมือนซาวด์มันกำลังหายใจอยู่ หรือบ้างก็เรียกว่า “suction” ภาษาคนไทยบอกซาวน์มันดูดๆกัน ผู้อ่านอาจลองกลับไปหาแผ่นของวง “Daft Punk” หรือ “Deep Dish” ไม่ก็ “Basement Jaxx” เปิดฟังแล้วคงจะเริ่มอ๋อในบรรดาศัพท์แสงเหล่านั้น เหล่านี้เป็นนักดนตรีที่เป็นหัวหอกในดนตรีแบบ House ที่มาจากฝรั่งเศส แม้ว่าดนตรีของแต่ละวงอาจฟังดูแล้วเป็นเอกเทศต่างจากเพลง House ที่มีอยู่ดาดเดื่อน ให้ฟังที่วิธีการคอมเพรสซาวด์ที่รุนแรงนี้ดู (วง “Air” ก็เป็นอีกวงนึงที่มาจากฝรั่งเศส)

คงไม่ใช่เพียงแค่ความโดดเด่นของศิลปินผู้สร้างสรรค์ดนตรีเท่านั้น แต่ก็เป็นเวทมนต์ของเครื่องมือในสตูดิโอเช่นกัน และเวทมนต์นี้ก็มีชื่อว่า “Side chaining”

ในการทำตามตัวอย่างในบทความนี้คุณจำเป็นจะต้องมี

1. ซอฟท์แวร์หลักที่ใช้ร่วมกับ VST Plug-Ins ได้ เช่น Ableton Live, Logic, Cubase, Pro Tools, etc…) จะสามารถทำไซด์เชนนิ่งได้

2. Side Chain Compressor – มีอยู่แล้วใน Live หรือจะดาวน์โหลด Free VST (PC Version | Mac Version) ตามลิงค์ครับ


ไซด์เชนนิ่งทำอะไรบ้าง?

ไซด์เชนนิ่งเป็นการนำเสียงนึง มาควบคุมอีกเสียงนึงอีกที โดยมากคุณจะพบฟังก์ชั่นนี้บนอุปกรณ์พวกไดนามิกโปรเซสเซอร์อย่างคอมเพรสเซอร์ (compressor), เกท (gate), ลิมิตเตอร์ (limiter), เอ็กซ์แพนเดอร์ (expander) แต่ต้องเป็นรุ่นที่แอดวานซ์หน่อย ไม่ใช่แบบพวก preset compressor นอกจากนี้ก็มีอยู่บนพวกเอฟเฟคท์โปรเซสเซอร์เช่น โวโค้ดเดอร์ (vocoders) หรือบนซินทิไซเซอร์ด้วยเช่นกัน

ไซด์เชนนิ่งมีประโยชน์จริงๆ ด้วยวิธีนี้จะทำให้เราสามารถมีเครื่องดนตรีหลายๆชิ้นแม้ว่าจะอยู่ใน frequency ช่วงเดียวกันได้โดยซาวด์ไม่ตีกัน หรือพูดง่ายๆว่าซาวด์มิกซ์ของคุณจะดีขึ้นเห็นๆ (ถ้าทำเป็นแล้ว)

ก่อนอื่นจะอธิบายเทคนิคที่เรียกว่า ดั๊กกิ้ง (Ducking) ซึ่งใช้ในหมู่โปรดิวเซอร์เพลง french house เพื่อที่จะได้ลักษณะซาวด์ที่เรียกว่า “Pumping” ภาษา ไทยเรียกว่า ซาวด์แบบสูบ หรือซาวด์มุดๆ ผู้อ่านที่ไม่เคยได้ยินคงจะงงกับภาษาเหล่านี้แน่ๆ มีตัวอย่างเพลงที่ใช้เทคนิคนี้อย่างรุนแรง ;-) เช่น

เพลง “One more time” โดย “Daft Punk”

เพลง “Together” โดย “Thomas Bangalter & DJ Falcon (จริงๆนายธอมัสนั้นก็อยู่วงดาฟท์พังค์ด้วยนั่นแหล่ะ)

ให้สังเกตเสียงฮอร์นในเพลงของดาฟท์พังค์จะพบว่า มันจะเงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงคิ๊กดรัมเล่นขึ้นมา นี่แหล่ะเทคนิคที่เรียกว่าดั๊กกิ้ง คำว่า duck ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง “เป็ด” แต่ มีอีกความหมายว่า ”มุดหัวหลบ” คงพอจะเข้าใจบ้างแล้วใช่มั้ยว่าฝรั่งเค้าจงใจทำให้เสียงฮอร์นหลบที่ให้เสียง คิ๊กเล่นนั่นเอง ลองฟังเพลงของ DJ Falcon จะได้ยินว่าเสียงร้องลูปนั้นถูกดั๊กให้เสียงคิ๊กเล่นในลักษณะเดียวกัน

ทีนี้จะลองไปหาเพลง French house จากแผ่นไหนก็ได้ใน 8 ปีที่แล้ว ทั้งหมดนั้นก็ทำแบบนี้


ไซด์เชนนิ่งทำซาวด์แบบนี้ได้ไง?

จริงๆแล้วไซด์เชนนิ่งนั้นหมายถึงการปล่อยเสียงจากแทร็คนึงเข้าไปที่เอฟเฟคท์ที่ใส่ให้กับเสียงของอีกแทร็คนึง ซึ่งเป็นกิริยาที่จะใช้กับเสียงกับเอฟเฟคท์อะไรก็ได้ ตย.เช่น เอฟเฟคท์ที่ใช้ทำเสียงร้องประสานอัตโนมัติให้กับนักร้องนำ มักจะอาศัยเอาเสียงตีคอร์ดกีตาร์ที่เค้าเล่นไปด้วย ไปใส่ในเอฟเฟคท์ร้องเพื่อให้ทราบคอร์ดแล้วนำไปวิเคราะห์สร้างเสียงประสานให้ ถูกต้องตามคอร์ดด้วย การนำเสียงนึงไปช่วยควบคุมเอฟเฟคท์ของอีกเสียงนึงก็คือไซด์เชนนิ่งนั่นเอง

แต่ส่วนใหญ่เวลาที่พูดถึงไซด์เชนนิ่ง ในแวดวงจะหมายถึงแต่การใช้ Sidechain Compressors กับ Gates เพื่อทำซาวด์แบบมุด หรือดั๊กกิ้งนั่นเอง จะอธิบายต่อถึงวิธีทำไซด์เชนบนซอฟท์แวร์ Ableton Live

เราจะใช้เสียงจากแทร็คนึงมาควบคุมโวลุ่มของอีกแทร็คได้จริงหรือ ดูจากภาพ เสียง Kick จากแทร็ค drums จะส่งผลให้เสียง pad เบาลงไปเฉพาะเวลาที่ Kick ดังขึ้น สังเกตก่อนและหลังทำไซด์เชนนิ่งให้กับเสียง pad

อันดับแรกต้องให้เตรียมแทร็คออดิโอไว้ 2 แทร็ค โดยแทร็คแรกจะเป็น Kick loop และ แทร็คที่สองเป็นเสียง Synth pad ตามตัวอย่างนี้ ให้ดาวน์โหลดจากลิงค์ไปก็ได้ แล้วนำไปวางในแทร็คตามรูป


ลองใส่ VST คอมเพรสเซอร์ให้กับแทร็ค Synth pad เสร็จแล้วลองเล่นดูก็ไม่เห็นได้ยินเป็นซาวด์แบบมุดเลยนี่หว่า ทำตาม step ดังนี้นะครับ

เราจะต้องตั้งเอาท์พุทของแทร็ค drums ใหม่ เปลี่ยนจากเดิมออกไปที่ Master เป็นไปที่ Synth loop แทน (step 1-2)

แล้วจะมีช่องให้เลือกต่อว่าไปเข้าที่ไหน ก็ให้เปลี่ยนจาก Track in ไปที่ Side Compressor แทน (step3-4)

เป็นอันเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อแบบซอฟท์แวร์ตามความหมายของ Side Chaining (เชื่อมโยงข้างเคียง) ต่อไปเราจะมาปรับค่าคอมเพรสเซอร์เพื่อให้ได้ซาวน์แบบ Pumping สุดๆ


การปรับค่าคอมเพรสชั่น


ถ้าลองเพลงฟังตอนนี้ เราจะได้ยินเสียง pad นั้นดั๊กกิ้งแล้ว แต่ไม่เห็นได้ยินเสียง Kick เลย แน่ล่ะเพราะเราเชื่อมมันเข้ามาในคอมเพรสเซอร์แทน จึงไม่ได้ออกไปที่เอาท์พุทมาสเตอร์ ให้เปิดปลั๊กอิส์คอมเพรสเซอร์ออกมา คลิกหมุนปุ่ม Key Volumn ขวาสุดให้ไปที่ 0.0dB เปิดสุดเลเพื่อที่จะได้ยินเสียง Kick กลับมาตามเดิม ไม่ยากเลยใช่มั้ย

ที่เหลือเป็นการปรับตามความเหมาะสมของแต่ละซาวด์ที่นำมา เริ่มจากค่า Treshold อาจจะตั้งไว้แถวๆ -13 หรือ –10db กลางๆก่อน จากวัตถุประสงค์ของตัวอย่างนี้เราอยากจะให้เสียง pad มุดหลบไปเลย จึงสามารถตั้งให้ Ratio หรืออัตราการบีบเสียงเป็น 00:1 (Infinity ต่อ 1 บิดขวาสุด) ซึ่งจะทำให้เสียง pad มีไดนามิคเรนจ์จากเบาไปดังกว้างที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ต่อไปปรับ attack ให้คอมเพรสเซอร์กดเสียง pad เร็วเท่าที่จะทำได้เช่นแถวๆที่ 5msec เพื่อให้เสียง pad ยังไม่คลิปขึ้นมา

ปุ่มปรับ hold จะตั้งให้คอมเพรสเซอร์กดเสียง pad (ด้วย ratio อินฟินีตี้ต่อ1) ให้เงียบนานขึ้นอีกนิด จากตัวอย่างนี้ลองปรับไว้แถวๆ 40msec

ปุ่ม release จะเป็นการตั้งให้เสียง pad ค่อยๆกลับมาดังเร็ว-ช้าแค่ไหน (ต่อจาก hold)

สุดท้ายปุ่ม Gain มีไว้หากการคอมเพรสทำให้ Volumn ทั้งหมดเบาลงไป แต่ตอนี้ตั้งไว้ 0dB ตามเดิม

เท่านี้คุณก็ได้ซาวด์แบบ Pumping ในดนตรีแบบ French house หรืออย่างน้อยคุณก็ประยุกต์ไปใช้ในแบบของคุณได้ J

สุด ท้ายนี้ หวังว่าคงจะสนุกในการเรียนรู้เทคนิคนี้ ซึ่งนำไปปรับปรุงคุณภาพงานเพลงได้จริงๆ ลองเริ่มทดลองใหม่ดูว่ามีซาวด์อะไรบ้างที่จะนำมาไซด์เชนนิ่งได้บ้าง แล้วคุณจะค้นพบอีกมากมาย


แปลและเรียบเรียงจาก sonictransfer.com

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ที่มาของระดับสัญญาณ(เสียง)ต่างๆ

Part I Signals from Source to DAW (Digital Audio Workstation)

ในขั้นตอนที่เราเสียบสายแจ็คเข้าที่ Input ของ Soundcard เพื่อบันทึกเสียงนั้น มีใครรู้บ้างมั้ยว่าจริงๆแล้วที่มาของสัญญาณเสียงต่างๆนั้นเป็นยังไง ลองศึกษาบทความนี้เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพวิธีการบันทึกเสียงให้เข้าขั้นมืออาชีพได้มากขึ้น
ในวิชาวิศวกรรมระบบจะเรียนรู้เกี่ยวกับการเชื่อมต่อ (Interfaces) ให้วิทยาการและศิลปะนั้นทำงานด้วยกันได้ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่ออุปกรณ์ที่สร้างมาจากคนละโรงงานด้วยคุณสมบัติการเชื่อมต่อที่ต่างกัน
การทำความเข้าใจให้ถึงหัวใจเรื่องระดับของสัญญาณทำงาน (Operating Levels), ค่าอิมพีแดนซ์อินพุทเอาท์พุทของอุปกรณ์ (Impedance), การเชื่อมต่อสัญญาณแบบบาลานซ์ (Balanced) กับอันบาลานซ์ (UnBalanced) และรู้จักหัวต่อ (Connector) ทุกชนิดกับวิธีใช้ ก็จะช่วยให้เราเลือกอุปกรณ์ที่เข้ากันได้แน่ๆสำหรับระบบของเรา และรู้ว่าอะไรที่สามารถทำได้และทำไม่ได้เมื่อจะต่อข้ามชนิดอุปกรณ์

ก่อนอื่นมารู้จักกับระดับการทำงานของสัญญาณพวกไมโครโฟน, ไลน์, และอินสทรูเมนท์ ที่มักจะเจอบ่อยๆ
Operating Levels – Microphone, Line, and Instrument

สัญญาณเสียงทั้งหมดที่เข้าออกซาวน์การ์ดที่เราใช้ในตอนนี้นั้น จริงๆแล้วคือแรงดันไฟฟ้า(Voltage) สำหรับช่อง Input นั้นจะมีระดับแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสมกับมันที่สุด ถ้าแรงดันไฟฟ้ามากไปก็อาจจะเกิดการผิดเพี้ยน (Distortion) และ Overloading ได้
Microphone นั้นให้แรงดันไฟฟ้าได้เพียงเล็กน้อย (นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงชื่อไมโคร) ตั้งแต่ช่วง 2-3 มิลลิโวลท์ไปถึงแถวๆ100มิลลิโวลท์นี้เราเรียกว่าสัญญาณระดับไมค์ (Mic Level)
พวกคีย์บอร์ดอิเลคทรอนิคส์ อุปกรณ์พวกคอมเพรสเซอร์, อีควอไลเซอร์, และพวกสตูดิโอเอฟเฟคโปรเซสเซอร์ต่างๆนั้น ต้องการแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่า และผลิตแรงดันไฟฟ้าที่ Out Put มากกว่า 100มิลลิโวลท์ ไปจนถึง 12โวลท์ แถวนี้เราเรียกว่าสัญญาณระดับไลน์ (Live Level)
สุดท้ายพวกปิ๊คอัพกีตาร์ไฟฟ้าหรือเบสไฟฟ้านั้นให้แรงดันไฟฟ้าในช่วงระหว่างไมโครโฟนกับไลน์ เราเรียกว่าสัญญาณระดับอินสทรูเมนท์ (Instrument Level) แม้ผู้ผลิตจะไม่ได้ระบุไว้ว่าเท่าไหร่ เพียงแต่บอกว่ามันต้องใช้ต่อร่วมกับอุปกรณ์ที่มีค่า Input Impedance สูง เช่น (แน่นอน) ตู้แอมป์กีตาร์ หรืออุปกรณ์พวก DI box หรือบน Mic Preamp ออกแบบโดยเฉพาะ เอฟเฟคก้อนก็ทำงานอยู่ที่สัญญาณระดับนี้
การบอกค่าระดับสัญญาณทำงานมักจะเลือกเอาค่า Nominal ก็คือ ค่าเฉลี่ยตรงกลางของช่วงของสัญญาณทำงานนั้นๆในหน่วยเดซิเบล (dBu) อย่างสัญญาณระดับไลน์แบบมืออาชีพที่ใช้กันทุกวันนี้นั้นก็จะทำงานอยู่ที่ +4dBu ซึ่งก็จะเท่ากับ ~1.23Volts
แต่สัญญาณระดับไลน์ของเครื่องเสียงตามบ้านทั่วไป (Consumer) จะทำงานอยู่ที่ -10dBu ซึ่งก็จะประมาณ 0.32Volts
สัญญาณระคับไมโครโฟนไม่ใช้เลือกค่าตรงกลางมาใช้ (จากที่วัดก็จะอยู่ประมาณ -40dBu) ส่วนสัญญาณระดับอินสทรูเมนท์ก็จะอยู่ที่ -20 dBu
ซาวน์การ์ดออนบอร์ด(ที่มากับคอมพิวเตอร์เลย) นั้นก็ออกแบบมาทำงานกับอุปกรณ์เครื่องเสียงบ้าน ช่อง line in ของมันจึงต้องทำงานที่ -10 dBu เช่นกัน ส่วนพวกซาวน์การ์ดแบบมืออาชีพหรือที่เรียก Audio Interface ที่เราใช้ทำเพลงกัน Input ของมันจะทำงานที่ +4dBu จึงมืออาชีพมากกว่า และบางรุ่นยังสวิตท์เปลี่ยนไปทำงานที่ -10dBu ก็ได้ด้วย


Nominal Levels VS. Headroom VS. Dynamic Range
จากที่เล่ามาระดับสัญญาณเสียงต่างๆทั้งหมดอยู่ในช่วงที่กว้างๆอยู่ แต่เราควรจะตั้งเป้าหมายการบันทึกเสียงไว้ที่ระดับไหนดี ผู้ผลิตอุปกรณ์จึงต้องบอกสเปกความสามารถของอุปกรณ์ด้วยค่า Nominal Levels, Headroom, และ Dynamic Range
ที่ช่องอินพุทของซาวน์การ์ดมักเขียนบอกว่าทำงานที่ระดับ +4dBu นั่นก็คือ “โนมิน่อลเลเว่ล” (Nominal Level) จริงๆแล้วเราสามารถป้อนแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าโนมิน่อลเลเว่ลนี้ก็ได้ แต่เราจะรู้มั้ยว่ามากกว่าได้มากแค่ไหน จึงนับช่วงตั้งแต่ +4dBu นี้ไปจนถึงระดับก่อนที่จะเกิดการ Distort นั้น (สมมติว่าซัก +22dBu) กำหนดเรียกว่า “เฮดรูม” (Headroom) กลับไปพิจารณาระดับสัญญาณที่ต่ำที่สุดที่คุณตัดสินว่าไม่ใช่เสียงดนตรี ซึ่งมักจะเป็นเสียงน๊อยส์ที่เกิดจากตัวซาวน์การ์ดเอง (สมมติว่า –85dBu) เราเรียกว่า “น๊อยส์ฟลอร์” (Noise Floor) ที่เอาท์พุทของซาวน์การ์ดจะมีน๊อยฟลอร์ออกไปตั้งแต่ระดับนี้ไปจนถึงระดับสัญญาณสูงสุดที่เอาท์พุทสามารถผลิตได้ก่อนที่จะ Distortion เราเรียกว่า “ไดนามิคเรนจ์” (Dynamic Range)
อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณต่ออุปกรณ์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ต่อเอาท์พุทจากซาวน์การ์ดออนบอร์ดที่ทำงานที่โนมิน่อลเลเว่ล -10dBu ไปยังช่อง +4dBu Line Input ของ DJ Mixer คุณจะต้องเพิ่ม Gain Input ที่มิกเซอร์มากผิดปกติเพื่อที่จะได้ระดับสัญญาณที่โชว์ที่มิเตอร์ไฟสูงอย่างเคย มันจะไม่ผิดปกติถ้าคุณรู้จักจับคู่เชื่อมต่อให้เหมาะกัน มาดูที่ไมโครโฟนที่ผลิตสัญญาณได้น้อยจึงต้องการไมโครโฟนปรีแอมป์เพื่อขยายให้เพิ่มได้ถึง 20-60 dB เพื่อทำให้สัญญาณระดับไมค์กลายเป็นสัญญาณระดับไลน์ จากนั้นเราควรที่จะทำงานที่ระดับสัญญาณนี้ต่อไปในระบบ ปรีแอมป์นี้อาจจะเป็นอุปกรณ์เพิ่มต่างหากหรือบางครั้งก็ติดมากับซาวน์การ์ดบางรุ่น

อิมพีแดนซ์ Impedance
ค่าอิมพีแดนซ์นั้นคล้ายๆกับค่าความต้านทานทางไฟฟ้าและก็ใช้หน่วยเดียวกัน คือ “โอห์ม” (Ohm) บางครั้งที่อุปกรณ์ก็ไม่ได้ระบุเป็นตัวเลขแต่บอกไว้แค่ว่า “high” หรือ “low” เท่านั้นเอง ซึ่งอุปกรณ์จะส่งต่อสัญญาณทำงานได้สมบูรณ์เมื่อค่าเอาท์พุทอิมพีแดนซ์ของอุปกรณ์ต้นทางกับอินพุทอิมพีแดนซ์ของอุปกรณ์ปลายทางมีค่าใกล้เคียงกันที่สุด
ในบรรดาไมโครโฟนแบบมืออาชีพแทบทั้งหมดจะมีค่าอิมพีแดนซ์ต่ำ (low) 50-300 โอห์ม แต่ก็ทำงานได้ดีกับช่องอินพุทระดับไมค์(บนมิกเซอร์ทั่วไป)ที่มีอิมพีแดนซ์อินพุทที่ 1000-3000โอห์ม
ในอุปกรณ์ระดับไลน์สมัยใหม่มีเอาท์พุทอิมพีแดนซ์อยู่ที่ประมาณ 100โอห์ม และมีอินพุทอิมพีแดนซ์ที่ 5,000-20,000โอห์ม พวกอินสทรูเมนท์ปิ๊คอัพ(เบส,กีตาร์ไฟฟ้า)นั้นสามารถเข้าใกล้สัญญาณระดับไลน์ได้ แต่เสียงจะไม่ดีเลยถ้าไม่ต่อกับอุปกรณ์ที่มีอิมพีแดนซ์อินพุท ตั้งแต่ 100,000 โอห์มขึ้นไป
และพวกดอกลำโพงนั้นมีอิมพีแดนซ์ต่ำเพียงแค่ 4-16โอห์มเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพวกพาวเวอร์สปีกเกอร์ที่มีแอมปริไฟล์อยู่ในตัวก็จะนับเป็นเหมือนกับอุปกรณ์ระดับไลน์อื่นๆ
สิ่งสำคัญที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับค่าอิมพีแดนซ์คือการจับคู่เอาท์พุทและอินพุทอิมพีแดนซ์ให้เป็น

Balanced / Unbalanced
นี่เป็นเรื่องที่หลายคนยังคงสับสนอยู่ดี(แม้จะอ่านบทความนี้จบแล้วก็ตาม) ลองสังเกตุภายในสายนำสัญญาณเสียงหรือไมโครโฟนเคเบิลต่างๆ เมื่อผ่าออกมาดูถ้าเราจะพบสายไฟสองเส้นอยู่ภายในชีลด์ นี่เป็นสายแบบบาลานซ์ หากมีเส้นเดียวก็จะเป็นสายแบบอันบาลานซ์ ในการเชื่อมต่อแบบบาลานซ์นั้นสายไฟทั้งสองเส้นภายในจะส่งผ่านสัญญาณเสียงเหมือนกันแต่มีขั้วตรงข้ามกัน ส่วนที่เป็นชีลด์ห่อหุ้มจะต่อกับกราวด์ ไม่ได้นำส่งสัญญาณแต่ทำการปกป้องการรบกวนจากรอบข้าง การรบกวนของจากรอบข้างนั้นได้แก่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆนั่นเอง ด้วยลักษณะของสายไฟนั้นแท้ที่จริงก็คือสายอากาศรับคลื่นดีๆนี่เอง จึงคอยรับคลื่นวิทยุหรือสิ่งรบกวนได้ง่าย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมสายนำสัญญาณราคาถูกจึงมีเสียงจี่มากกว่า (สายยาวๆจะสังเกตได้ชัดเจน)
การเชื่อมต่อแบบบาลานซ์จึงป้องกันการรบกวนได้ดีกว่าเพราะวงจรบาลานซ์นั้นสามารถหักล้างการรบกวนต่างๆไปตลอดทางที่สายไมโครโฟนทอดยาวไป การออกแบบวงจรบาลานซ์จึงเกิดขึ้น
ในยุคแรกๆมีการใช้ทรานฟอร์มเมอร์สร้างวงจรบาลานซ์ได้ผลที่ดีมาก ขดลวดฝั่งเซคันดารี่ของทรานฟอร์มเมอร์สามารถแบ่งสัญญาณออกเป็นสองทางอย่างสมบูรณ์ ทำให้ค่าอิมพีแดนซ์ของสายนำสัญญาณทั้งสองเทียบกับกราวด์นั้นสมดุลกัน แต่ทรานฟอร์มเมอร์ก็มีราคาสูงมาก
มีการออกแบบง่ายๆคือสายนำสัญญาณอีกเส้นนั้นไม่ต้องต่อกับสัญญาณเลย เพียงแต่ต่อกับตัวต้านทานที่มีค่าเท่ากับอิมพีแดนซ์เอาท์พุทของสายนำสัญญาณเส้นจริง แล้วก็ต่อกับกราวด์เป็นอันเสร็จ วิธีนี้จึงทำให้เกิดการสมดุลของอิมพีแดนซ์ของสายนำสัญญาณทั้งสองได้ใกล้เคียงแม้จะไม่สมบูรณ์เท่าทรานฟอร์มเมอร์
ยังมีการออกแบบวงจรที่ใช้มากกว่าตัวต้านทานตัวเดียวซึ่งก็จะแพงขึ้นมา ดังนั้นวิธีการที่จะเชื่อมต่อสัญญาณตอนนี้จึงได้แก่ ทรานฟอร์มเมอร์บาลานซ์, อิเล็คทรอนิคส์บาลานซ์, อิมพีแดนซ์บาลานซ์, และอันบาลานซ์
การเชื่อมต่อแบบบาลานซ์จึงอยู่ในอุปกรณ์แบบมืออาชีพส่วนใหญ่และเป็นส่วนที่คนใช้ตัดสินว่าโปรฯหรือไม่แต่ในปัจจุบันด้วยคุณภาพของอุปกรณ์ปรีแอมป์ต่างๆ อุปกรณ์แบบอันบาลานซ์ก็สามารถนำมาใช้ได้ไม่มีปัญหา
แต่สายไมโครโฟนที่มีสายนำสัญญาณเสียง 2เส้นภายในนั้น อาจนำไปใช้เชื่อมต่อในกรณีอื่น เช่น เชื่อมต่อสัญญาณเสียงสเตอริโอ, ทำเป็นสาย Inserts (Send Return) เป็นต้น ซึ่งการใช้แบบนี้คือการต่อแบบอันบาลานซ์บนสายแบบบาลานซ์ เพราะสายข้างในแต่ละเส้นนั้นนำสัญญาณเสียงคนละอย่างกัน
การเชื่อมต่อแบบบาลานซ์จึงคล้ายวงจรคู่ขนานที่ของสายนำสัญญาณทั้ง 2เส้นจะมีอิมพีแดนซ์เทียบกับกราวด์เท่ากัน

หัวต่อ, แจ๊คแบบต่างๆ (Connector)

ไมโครโฟนส่วนใหญ่จะใช้หัวต่อแบบ XLR ตัวผู้ ซึ่งเป็นหัวต่อแบบบาลานซ์เสมอ เพราะสัญญาณไมค์นั้นต่ำมาก จึงต้องลดการรบกวนต่างๆให้มากที่สุด


“ควอเตอร์อินช์โฟนแจ๊ค” หรือ หัวต่อแจ๊คโฟน ขนาด ¼” น่าจะเป็นหัวต่อที่ใช้ในสตูดิโอมากที่สุด เนื่องจากราคาไม่แพงและทนทาน ที่ถูกเรียกว่าโฟนเพราะว่ามันเคยเป็นมาตรฐานบนเครื่องโทรศัพท์ (Telephone) มีอยู่ 2 แบบคือ แบบบาลานซ์ และ อันบาลานซ์ แต่จะเรียกว่า TRS และ TS ตามลำดับ ซึ่งเรียกตามส่วนประกอบของมันได้แก่ Tip , Ring , Sleeve บางครั้งหัวแจ๊ค TRS ถูกนำไปใช้นำสัญญาณอันบาลานซ์ 2 แชนแน่ล พบในอุปกรณ์ เช่น หูฟัง (Headphones) เลยถูกเรียกว่า “สเตอริโอแจ๊ค” ซะมากกว่า มีการใช้ในวิธีการวิธีการ Insert บนมิกเซอร์ เพื่อนำสัญญาณอันบาลานซ์ส่งออกไป (Send) และย้อนกลับมา (Return) ด้วยหัวต่อแบบ TRS ตัวเดียว
หัวต่อมินิโฟน ขนาด 1/8” ก็เหมือนกับ ¼” เพียงแต่ว่ามันเล็กกว่า ทนทานน้อยกว่า และมักจะใช้ในอุปกรณ์เครื่องเสียงตามบ้านแต่ก็ยังพบบ้างในอุปกรณ์แบบมืออาชีพที่จำกัดขนาด เช่น เครื่องบันทึกเสียงแบบพกพา หัวต่อแบบมินิโฟนจึงมักจะเป็นส่วนที่ชำรุดก่อนเพราะมันถูกใช้บ่อยบนซาวด์การ์ดที่ติดมากับคอมพิวเตอร์ก็มีหัวต่อแบบนี้ เป็นช่องสเตอริโออินพุท หรือ เอาท์พุท

หัวต่อRCA โฟโน (RCA Phono) นั้นเคยถูกใช้เป็นหลักในห้องบันทึกเสียงในยุคแรกๆ เพราะว่ามันถูกกว่าแบบควอเตอร์อินช์ และมีสายแบบสำเร็จขายในราคาไม่แพง แต่เพราะมันเป็นแบบอันบาลานซ์จึงไม่ได้ใช้แล้วในอุปกรณ์สมัยใหม่ นอกจากอุปกรณ์พวกมิกเซอร์ที่ยังพอมีอินพุทหรือเอาธ์พุทแบบ RCA นี้ เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องเสียงบ้านได้บ้าง เช่น เครื่องเล่นmp3พกพา บนมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบดิจิตอลที่ชื่อ S/PDIF ก็ยังใช้หัวต่อแบบRCA และยังพบเห็นในอุปกรณ์DJ ตลอด

ในตอนเริ่มแรกคุณอาจจะใช้เพียงซาวด์การ์ดที่ติดมากับคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกเสียง หากคุณสามารถเสียบไมโครโฟนด้วยสายต่อที่ถูกต้อง และเสียบถูกช่องด้วยความเข้าใจ ก็จะได้ผลการบันทึกเสียงที่ดีที่สุดจากอุปกรณ์เท่านั้นแล้ว และเมื่อคุณมีอุปกรณ์เพิ่ม เช่น มิกเซอร์ หรือไมค์ปรีแอมป์ ขอบเขตของคุณภาพงานบันทึกเสียงก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ทำความเข้าใจให้ดีเพื่อพร้อมที่จะข้ามสู่ระดับต่อไป

พื้นฐานเรื่องซาวน์การ์ด
คอมพิวเตอร์ออดิโออินเตอร์เฟซ หรือซาวด์การ์ดที่เราเรียกกัน ก็คืออุปกรณ์ ที่สามารถนำสัญญาณเสียงเข้าไปเก็บในคอมพิวเตอร์ได้ ทุกวันนี้ซาวด็การ์ดถูกผลิตขึ้นมาในหลายๆขนาด รูปร่าง และความสามารถต่างๆไป เมื่อติดตั้งให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณก็จะสามารถทำงานแทนเครื่องบันทึกเทปได้ โดยใช้ฮาร์ดดิสของคอมพิวเตอร์แทนเทปนั่นเอง สัญญาณเสียงจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิตอลซึ่งเก็บเป็นข้อมูลลงในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ หรือจะเก็บแบบถาวรลงบนดิสค์ ข้อมูลเหล่านี้สามารถอ่านจากดิสค์กลับไปที่ซาวด์การ์ด และแปลงเป็นรูปสัญญาณเสียงที่สามารถขับลำโพงหรือหูฟังให้เกิดเสียงได้
ในภาคอินพุทประกอบไปด้วยไมโครโฟรพรีแอมซึ่งช่วยขยายสัญญาณเล็กๆที่ได้จากไมโครโฟนให้มีระดับที่ตัวแปลงสัญญาณจากอะนาล็อกไปเป็นดิจิตอลหรือ A/D Converter สามารถใช้ได้ สัญญาณเสียงจะถูกแปลงเป็นรูปแบบดิจิตอลที่สามารถเก็บลงบนดิสค์ และเมื่อข้อมูลดิจิตอลจากดิสค์กลับไปที่ตัวแปลงดิจิตอลไปเป็นสัญญาณอะนาล็อกหรือ D/A Converter ก็จะออกมาเป็นเสียง
ในส่วนของ Control Panel ที่แสดงในรูปนั้นก็คือปุ่มและสไลเดอร์ที่ใช้ควบคุม Volume และเลือกที่มาของอินพุทดังที่เห็นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อคุณใช้มันคอมพิวเตอร์ก็จะส่งคำสั่งไปที่ซาวด์การ์ดให้ปรับเสียงตามนั้น


ซาวด์การ์ดที่มี A/D และ D/A Converter ที่ดีกว่า เริ่มถูกผลิตออกมาขายมากขึ้น มันอาจจะมีแค่ภาคอินพุทแบบไลน์ ซึ่งก็ยังต้องการอุปกรณ์พวกพรีแอมภายนอกหรือมิกเซอร์เพื่อให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าซาวด์การ์ดธรรมดา ยังคงมีอีกหลายๆทางที่จะทำให้เสียงดีขึ้นได้ เราจะพูดถึงเครื่องมือต่างๆ เช่น มิกเซอร์ ไมค์พรีแอมป์ อีควอไลเซอร์ คอมเพรสเซอร์ หรือแม้กระทั่งออลอินวันคอมพิวเตอร์อินเตอร์เฟสที่มีทุกอย่างภายในตัวเดียวในครั้งต่อไป